ราคาน้ำมันยังพุ่ง ไออาร์พีซีชี้ LPG-LNG-ถ่านหินราคาเพิ่มสูงขึ้นมาก

11 พ.ย. 2564 | 03:52 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2564 | 10:52 น.

ไออาร์พีซีคากราคาน้ำมันดิบไตรมาส 4 แนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังราคา LPG ,LNG และถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นมาก ตามความต้องการใช้เชื้อเพลิงช่วงฤดูหนาว

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า แนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 4 คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการที่ราคาของ LNG ,LPG และถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนการใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง 
ประกอบกับการที่กลุ่มโอเปกและพันธมิตร มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการผลิตตามแผนเดิม คือ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้จะมีการเรียกร้องจากหลายประเทศให้มีการปรับเพิ่มการผลิตให้มากขึ้น เพื่อควบคุมราคาน้ำมันดิบ และการพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน อาจเลื่อนจากไตรมาส 4 ปีนี้ เป็นไตรมาส 1 ปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกน้ำมันดิบจากอิหร่านยังคงถูกระงับตลอดทั้งปีนี้ 

นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมันยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19) โดยรวมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ส่วนแนวโน้มภาพรวมตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 4 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั่วโลกจะปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น เนื่องจากการกระจายวัคซีนที่ครอบคลุมมากขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) และเริ่มเปิดประเทศ ซึ่งส่งผลบวกต่อการฟื้นตัว ทางเศรษฐกิจ 

ชวลิต ทิพพาวนิช
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนต่อสภาวะตลาดที่สำคัญ คือ การเร่งรัดนโยบายควบคุมการใช้พลังงานของประเทศจีน เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ทำให้โรงงานปิโตรเคมีในประเทศจีนหลายแห่งต้องปรับลดกำลัง การผลิต หรือบางแห่งต้องปิดโรงงาน 

รวมถึงอาจมีการเลื่อนกำลังการผลิตใหม่ออกไป จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมากจากประเทศจีนในช่วง 1-3 ปีนี้ นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า การแพทย์ และสุขภาพอนามัย รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังคงอยู่ในระดับสูงตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในวิถี New-normal
นายชวลิต กล่าวต่อไปว่า ในไตรมาส 3/64 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 62,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากราคาขายเพิ่มขึ้น 7% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 2% โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 7,216 ล้านบาท หรือ 12.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 17% 
สาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง รวมทั้งต้นทุน Crude Premium ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 9,544 ล้านบาท หรือ 16.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 22% ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ยังคงมีกำไรต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว โดยมีกำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าโครงการผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ผ้าอ้อมเด็ก/ผู้ใหญ่ และแผ่นกรองอากาศ IRPC ตั้งเป้าหมายเป็นผู้ผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอครบวงจรรายแรกของประเทศไทย พร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม ปี 2564 ถือเป็นการขยายธุรกิจ ต่อยอดนวัตกรรมที่เกิดประโยชน์กับประเทศ สร้างความมั่นคง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยคนไทยเพื่อคนไทย