ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า B.Grimm Power Malaysia Sdn. Bhd. (B.Grimm Malaysia) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้น 100% ได้เข้าทำสัญญาจองซื้อหุ้น เพื่อเข้าซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของ reNIKOLA Holdings Sdn (reNIKOLA) คิดเป็นสัดส่วน 45% ภายใต้มูลค่าการซื้อขายรวม 367 ล้านมาเลเซียริงกิต
ทั้งนี้ B.Grimm Malaysia ยังได้เข้าทำสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อทำการแลกหุ้นระหว่างกันกับ Pimpinan Ehsan Berhad (PEB) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศมาเลเซีย โดยภายหลังการแลกหุ้นดังกล่าว B.Grimm Malaysia จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน PEB 40.6% และ PEB จะถือหุ้นใน reNIKOLA Holdings ในสัดส่วน 100% โดยรายการดังกล่าวอยู่ระหว่างการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับ reNIKOLA เป็นกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานทดแทนที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว รวม 88 MW และอยู่ระหว่างการเจรจาทำสัญญาซื้อขายหุ้นอีก 90 MW ในอนาคตอันใกล้
รวมถึงมีการลงนาม MOU กับองค์กรใหญ่หลายแห่งในประเทศมาเลเซียเพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ขนาด 375 MW ภายใต้ Third Party Contract (Corporate PPA) อีกทั้งยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหลายโครงการ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และธุรกิจสายส่ง
นอกจากนี้ B.Grimm Malaysia ยังได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น เพื่อเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 49% และหุ้นบุริมสิทธิในสัดส่วน 100% ของ Tamara East Sdn. Bhd. (ซึ่งเป็นบริษัทที่จะใช้เพื่อการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในอนาคต) ภายใต้มูลค่าการซื้อขาย 6.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐด้วย
“เรามีเป้าหมายร่วมกันในการมุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานสะอาด ที่มีเสถียรภาพและเข้าถึงได้ การลงทุนในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจพลังงานทดแทนไปด้วยกัน โดยในประเทศมาเลเซียยังมีโอกาสอีกมากมาย”
Tengku Zaiton ประธาน กลุ่ม reNIKOLA กล่าวว่า การร่วมมือดังกล่าว ทำให้แนวทางการดำเนินงานด้านพลังงานทดแทนของบริษัทมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเงินร่วมทุนจำนวน 367 ล้านมาเลเซียริงกิตนี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในการคว้าโอกาสในธุรกิจพลังงานทดแทนที่มีเข้ามาในอนาคต
Jonathan Law Ngee Song ประธาน PEB กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน ในการเปลี่ยนผ่าน PEB สู่การเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจพลังงานทดแทนในภูมิภาค โดยต้องการสร้างพอร์ตพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย ซึ่ง บี.กริม เพาเวอร์ ในฐานะผู้ถือหุ้นที่สำคัญ (หลังจากการดำเนินการตามสัญญาแล้วเสร็จ) ทำให้มั่นใจว่าจะไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ
ด้วยการสนับสนุนจากทาง บี.กริม เพาเวอร์ PEB จะเป็นกุญแจสำคัญในการไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมไปถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะยกระดับการเติบโตด้านธุรกิจพลังงานทดแทน
"บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งมั่นไปสู่การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 นี่เป็นอีกหนึ่งก้าวของ บี.กริม เพาเวอร์ สู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ภายในปี 2593 สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศมาเลเซีย ที่ประกาศเป้าหมายที่จะบรรลุ "Net Zero" ภายในปี 2593 เช่นกัน โดยตั้งเป้าที่จะลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ภายในปี 2573"
ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เปิดดำเนินการแล้ว จำนวน 737 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ขยะอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว
อย่างไรก็ดี ยังมีโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคาอีกหลายโครงการทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการพลังงานทดแทนหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ด้วยกำลังการผลิตรวม 126 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการพลังงานลมในโปแลนด์ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาว และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบไฮบริดในประเทศไทย
บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2568 ไปสู่ 7,200 เมกะวัตต์ จาก 3,058 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2563 และเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องไปเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 โดยมีเป้าหมายรายได้ 100,000 ล้านบาทต่อปี