นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เอกชนมีความต้องกานรและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ประกอบด้วย
1.เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็ม 2 ให้เร็วที่สุด รวมถึงการฉีดเข็ม 3 (Booster) ที่มีความสามารถในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน (Omicron) ตลอดจนเข้มงวดมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดระลอกใหม่ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนได้รับ ทราบถึงแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่
2.เร่งจัดหาและนำเข้าแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตามแนวชายแดน
3.ขอให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือ และบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น อาทิ พยุงราคาพลังงาน,ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า,น้ำประปา)
4.เร่งออกมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้มาตรการควบคุมโรค ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
5.สนับสนุนสินค้า Made in Thailand ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
ส่วนผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤศจิกายน 2564 อยู่ที่ระดับ 85.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 82.1 ในเดือนตุลาคม 2564 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ covid-19 ในประเทศที่มีแนวโน้มคลี่คลายลง
ขณะที่การฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าอย่างชัดเจน ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีการปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยกเลิกมาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิวส์) ตลอดจนอนุญาตให้สถานที่หรือกิจการบางประเภทสามารถเปิดดำเนินการได้ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร สถานเสริมความงาม สถานที่ออกกำลังกาย เป็นต้น
นอกจากนี้ภาครัฐยังได้กำหนดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ พังงา และภูเก็ต เพื่อรองรับการเปิดประเทศ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทยอยฟื้นตัว สะท้อนดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายสินค้าอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรกล กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างและเครื่องใช้ในบ้าน รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและยา เป็นต้น
ด้านการส่งออกมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน อาเซียน และอินเดีย ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มมีทิศทางดีขึ้นอย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นจนกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือสูง ขณะที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและการก่อสร้างยังเป็นปัจจัยกดดันต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,381 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 40.6%
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 65.4% ,เศรษฐกิจในประเทศ 59.5% ,สถานการณ์ระบาดของโควิด 58% ,สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 50.2% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 43% และสภาวะเศรษฐกิจโลก 45.1%
นายสุพันธุ์ กล่าวอีกว่า ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 97.3 จากระดับ 95.0 ในเดือนตุลาคม 2564 โดยผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีทิศทางดีขึ้นภายหลังจากภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป นอกจากนี้ภาคการส่งออกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงขอให้ภาครัฐเตรียมมาตรการรองรับหากมีการระบาดรอบใหม่ตลอดจนออกมาตรการตรวจสอบคัดกรองนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด