งานสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2564 สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์(TEA) "ทางรอด 2022 Survival Guide" นักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่ง อภิปรายในหัวข้อ "แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565"
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยระบุว่า แนวโน้มปีหน้าธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไว้ที่ 3.9% บน2เงื่อนไข คือ ไม่เกิดการระบาดของโควิดอีกรอบ และมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาบ้าง โดยคาดว่าจะมีจำนวน 5.8ล้านคน
“ จบปีนี้เศรษฐกิจคงขยายตัว 0.9-1% หลังจากปีก่อนติดลบยไป 6% ปีหน้ามองว่าจะอยู่ที่ 3.9% ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญคือการบริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นขึ้นอยู่กับธีมการเปิดเมืองเป็นความหวังในปีหน้า แต่ขออย่าให้เกิดการระบาดของโควิดรอบใหญ่อีก และขอให้มีนักท่องเที่ยวกลับมาบ้างราว 5.8ล้านคน
แต่ยังคงมองปีหน้ามีความไม่แน่นอนค่อนข้างเยอะมองว่ากว่าเศรษฐกิจจะกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดน่าจะเป็นปี 2566 และปีหน้ายังมองความท้าทายใน 3เรื่องได้แก่ โควิด ,เศรษฐกิจในจีนมีแนวโน้มจะชะลอจากภาคอสังหาริมทรัพย์โดยจีนจะเน้นการใช้จ่ายในประเทศอาจกระทบเศรษฐกิจไทย และเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในสหรัฐถ้าเฟดต้องแตะเบรกก็จะมีผลกระทบการลงทุนและเศรษฐกิจเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ที่พุ่งแตะ 6.8% แม้ว่าตลาดแรงงานจะทยอยสู่ภาวะปกติ แต่เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ถ้าเฟดต้องแตะเบรกการดำเนินนโยบายการเงิน โดยคาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้งไปสู่ระดับ 0.50-0.75%
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณว่าถ้าเศรษฐกิจในประเทศยังไม่เติบโตไม่ดี การจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็ลำยาก จึงมีความแตกต่างการดำเนินนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยและอาจส่งผลความผันผวนต่อค่าเงินบาทได้
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะเป็นเสือหมอบที่พร้อมจะกระโจน คาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 3.8% โดยมาจากปัจจัยการส่งออก กำลังซื้อที่ดีขึ้น ภาคการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว แต่การกระจายตัวที่ไม่ทั่วถึงจากปีนี้จีดีพีขยายตัว 1.1% ซึ่งเป็นการเติบโตเตี้ยที่สุดในอาเซียน
ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐควรจะทำเพิ่มเติม คือ มาตรการเติมเต็มการจ้างงานและด้านภาษี เช่นการจ้างงานแลกเงิน และดึงคนมีกำลังซื้ออกมาใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพราะภาครัฐยังมีเม็ดเงิน เพียงแต่ภาครัฐต้องเปลี่ยนรูปแบบผยุงเศรษฐกิจรอกำลังซื้อที่จะดีขึ้น เมื่อการระบาดของโควิดคลี่คลาย จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เสือหมอบสะดุดได้ มาจากความเสี่ยงทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้ง รวมถึงความเสี่ยงสงครามการค้าที่ยังมีอยู่ซึ่งต้องติดตาม และสงครามเทคโนโลยี ซึ่งไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบ
ด้านค่าเงินบาท แนวโน้มยังอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยคาดว่ากลางปีหน้าจะเห็นเงินบาทอ่อนค่าที่ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่หลังจากเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าที่ระดับ 33บาท/ดอลลาร์เมื่อมีนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามา ทำให้มีรายได้เข้ามา และดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก
ดร.ชนินทร์ มโนภินิเวส นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านโครงสร้างพื้นฐาน ธนาคารโลก กล่าวว่า ธนาคารโลกประเมินเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวที่ระดับ 3.9% จากปีนี้ขยายตัวราว 1% โดยมองว่าภาครัฐยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคประชาชน แต่ต้องโฟกัสกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะไม่เติบโตเร็วเท่าประเทศอื่น แต่มีเวลาสร้างฐานรากให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมีความเสี่ยงจากค่าระวางเรือ และต้องจับตาเรื่องซัพพลายเชนดิสรับชั่น เนื่องจากมีกระแสข่าวผู้ผลิตชิ้นส่วนอาจจะดีเลย์ส่งชิปให้กับไอโฟนรุ่นต่อไป
“ ในแง่ของการปรับตัวนั้น มองว่าแนวโน้มเทรนด์ของโลก ไม่ว่าสังคมสีเขียวหรือสุขภาพ เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนกระบวนท่า โดยการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเมดิคอลฮับ รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมต่างๆที่จะต้องปรับตัว เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรืออีวี”