นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เผยว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และราคากากถั่วเหลืองมีราคาสูงขึ้นมาก กระทบต้นทุนอาหารสัตว์และต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอย่างมาก ขณะที่ราคาขายไข่ไก่หน้าฟาร์มถูกตรึงอยู่ที่ฟองละ 2.90 บาท จากต้นทุนจริงพุ่งไปที่ฟองละ 2.92 บาทแล้ว หากราคาข้าวโพดสูงไปมากกว่านี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะอยู่ไม่ได้
“ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ข้าวโพดทั้งหมดขายออกจากไร่เกษตรกรไปอยู่ในสต๊อกของพ่อค้าพืชไร่หมดแล้ว ซึ่งเท่ากับมีผลผลิตที่พร้อมจำหน่ายเต็มที่ แต่กลับพบว่ามีของออกมาในตลาดน้อยและดันให้ราคาสูงขึ้นมาก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คนเลี้ยงไก่ไข่ต้องขาดทุนมากขึ้น จากถูกตรึงราคาไข่ แต่ไม่มีใครช่วยตรึงราคาข้าวโพดซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ” นางพเยาว์กล่าว
ปัจจุบันข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 10.90 บาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก คาดราคาจะขึ้นไปแตะถึงกก.ละ 11.50 บาท ส่วนราคากากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า มีราคาเพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 20.10 บาท เป็นกก.ละ 20.50 บาท อันเนื่องจากสภาวะอากาศที่แห้งแล้งของประเทศผู้ผลิตถั่วเหลือง ที่คาดว่าผลผลิตจะลดลงต่อเนื่อง ผนวกกับการขนส่งของสหรัฐฯที่มีความล่าช้าจากปัญหาอากาศหนาวเย็น ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
ทั้งนี้สองวัตถุดิบทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองเป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารสัตว์ และเป็นสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรการของรัฐบาล โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รัฐบาลมีโครงการการประกันรายได้เกษตรกร ส่วนกากถั่วเหลืองมีภาษีนำเข้า 2% ซึ่งอีกมุมหนึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนให้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์
“เกษตรกรคนเลี้ยงไก่ไข่ไม่มีรัฐมาช่วยปกป้อง พอรัฐขอให้ช่วยตรึงราคาขายไข่เราก็ตรึงให้ แต่โปรดช่วยตรึงราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เราด้วย ขอแค่ให้พออยู่ได้ ถ้ารัฐทำไม่ได้ก็ไม่ควรตรึงราคาขาย อย่าลืมว่า ไม่มีคนทำมาหากินที่ไหนที่จะอยู่ได้ ถ้าถูกควบคุมราคาขายปลายทาง แต่ต้นทุนผลิตพุ่งไม่หยุดแบบนี้” นางพเยาว์กล่าว