ด่วน ครม. เคาะ 10 มาตรการลดค่าครองชีพนาน 3 เดือน

22 มี.ค. 2565 | 06:48 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มี.ค. 2565 | 13:51 น.

ครม.ไฟเขียวมาตรการลดค่าครองชีพ 10 มาตรการ ทั้งช่วยก๊าซหุงต้ม ค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตรึงเอ็นจีวี ช่วยประกันสังคม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ 10 มาตรการลดค่าครองชีพ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันแพง และสถานการณ์วิกฤตยูเครนและรัสเซีย ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพ.ค.-ก.ค.2565 

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขั้นตอนจากนี้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดำเนินการออกมาตรการทั้งหมดที่กล่าวมา ทั้งนี้ต้องให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย และข้อบังคับต่าง ๆ รวมทั้งนำเสนอครม. เพื่อพิจารณาและอนุมัติเป็นการเร่งด่วน

สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพต่าง ๆ ทั้ง 10 มาตรการ มีดังนี้ 

 

  1. การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินจากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน
  2. ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 5,500 คน
  3. ช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่าเดิม
  4. คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม
  5. ผู้ขับขี่แท๊กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาท/กิโลกรัม
  6. ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม
  7. ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งนึง 
  8. กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน - มิถุนายน โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป
  9. ลดอัตราเงินสบทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่ายและผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป
  10. ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 432 บาท/เดือน เหลือ  91 บาท และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42-180 บาทต่อเดือน

10 มาตรการลดค่าครองชีพ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้มากที่สุด ก่อนจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูก

 

โดยเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศ และให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศต่าง ๆ ในการจัดหาปัจจัยการผลิตที่จำเป็นเข้าประเทศด้วย

 

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาล ทุกกระทรวง และทุกหน่วยงาน กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อวางแผนช่วยเหลือประชาชนทุกคนให้ได้มากที่สุด ให้พ้นวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ไปให้ได้ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และเร่งเดินหน้าตามแผนฟื้นฟูประเทศที่ได้วางไว้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

 

ทั้งเรื่องโอกาสการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ การเปิดประเทศและการท่องเที่ยวในระยะต่อไป เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้ รวมไปถึงการช่วยลดภาระ แบ่งเบาค่าครองชีพด้วยมาตรการต่าง ๆ และแก้ปัญหาหนี้สินให้พี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด

 

ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวว่า ในส่วนของการปรับลดเงินสมทบมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40ต้องเสนอให้ที่ประชุมบอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ จากนั้นจึงจะเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาในวันที่ 5 เม.ย.นี้ ต่อไปเพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเดือนพ.ค.นี้

 

ล่าสุด นายธนกร แจ้งเพิ่มเติมว่ามาตรการชุดนี้จะสามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากครัวเรือนได้จริง โดยเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถขยายตัวอย่างน้อยได้ไม่ต่ำกว่า 3%

 

โดยใน วันที่ 24 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น. รัฐบาลจะมีการแถลงรายละเอียด ตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย โดยเฉพาะมาตรการลดค่าครองชีพ บรรเทาความเดือดร้อนที่พุ่งเป้าไปที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ที่ทำเนียบรัฐบาล

 

สำหรับมีผู้ที่แถลงรายละเอียด ประกอบด้วย

  • นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน
  • นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง
  • นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน
  • ปลัดกระทรวงพลังงาน
  • ปลัดกระทรวงการคลัง
  • เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ