นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยยูเนี่ยนวางกลยุทธเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง และการต่อยอดไปถึงธุรกิจที่เพิ่มมูลค่า จากปี 2564 ที่ไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทยังคงเดินหน้าการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเร่งขับเคลื่อนขยายธุรกิจจากธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
จากธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยนที่ประกอบไปด้วย อาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าอื่นๆ บริษัทได้เดินหน้าอย่างเต็มที่ผลักดันและขยายธุรกิจเข้าไปใน สตาร์ทอัพด้านฟู้ดเทค และธุรกิจเพิ่มมูลค่า อาทิ โปรตีนทางเลือก และวัตถุที่เป็นส่วนผสมในอาหารหรือ ingredients ทั้งในด้านของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในหลากหลายและขยายฐานลูกค้าในวงกว้างขึ้น
ในช่วงสองปีที่ผ่านมากับสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ทุ่มเทดูแลสุขภาพและความปลอดภัยให้กับพนักงานของเราและเพื่อให้เรายังคงสามารถผลิตสินค้าที่จะดูแลผู้บริโภคทั่วโลกของเราในด้านสุขภาพและโภชนาการได้อย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบจากวิกฤตโควิด ไทยยูเนี่ยนได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในมุมที่กว้างขึ้น รวมถึงการพัฒนาธุรกิจหลักแข็งแกร่งขึ้น ไปพร้อมกับพัฒนาธุรกิจใหม่ เช่น โปรตีนทางเลือก สร้างโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว
ในปี 2564 ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น ถึง 6.5% อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28.3% อยู่ที่ 8,013 ล้านบาท จากปัจจัยที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งและแช่เย็นฟื้นตัวจากการที่ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรมกลับมาเปิดในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ประกอบกับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าทำผลงานได้ดี
กลยุทธ์สู่ปี 2568 ของไทยยูเนี่ยนคือการพัฒนาการดำเนินงานในแต่ละหน่วยธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับสินค้าแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท หนึ่งในสิ่งที่บริษัทได้จัดการคือการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิต รวมถึงการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ทั่วโลกให้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้เดินหน้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องที่มีวิตามิน 12 และแคลเซียม รวมถึงสินค้าอาหารพร้อมทาน ในปีนี้บริษัทยังคาดว่าโรงงานผลิตอาหารพร้อมทานที่สมุทรสาครจะแล้วเสร็จอีกด้วย
อีกธุรกิจที่สำคัญในการเติบโตของไทยยูเนี่ยนคือธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 17.9% ในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการใช้เวลาอยู่กับบ้านและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต บริษัทได้เปิดตัว บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ในปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในธุรกิจกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเน้นนวัตกรรมที่จะช่วยดูแลให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว
นวัตกรรมได้กลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจของไทยยูเนี่ยน ต่อยอดไปสู่ธุรกิจเพิ่มมูลค่าต่างๆ ซึ่งเกิดจากผลงานของศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน และบริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
ในปี 2564 ไทยยูเนี่ยนมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกิดจากนวัตกรรม เช่น น้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ UniQ™DHA และแคลเซียม UniQ™BONE รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์ ZEAvita ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมคอลลาเจนแคลเซียมและน้ำมันปลา และเพื่อตอบสนองการเติบโตของธุรกิจในส่วนนี้ ไทยยูเนี่ยนได้มีการสร้างโรงงานโปรตีนไฮโดรไลเสทและคอลลาเจนเปปไทด์ขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งความสามารถในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่นี้ทำให้สร้างโอกาสธุรกิจที่ทำกำไรสูงและเติบโตสูงได้
ไทยยูเนี่ยนเองเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสเปซ-เอฟ โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจให้กับสตาร์ทอัพฟู้ดเทคในประเทศไทย โดยไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพผ่านโครงการ สเปซ-เอฟ ซึ่งมีสตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วมจากทั่วโลก
ความยั่งยืนมีความสำคัญต่ออนาคตของธุรกิจไทยยูเนี่ยน และเป็นหัวใจของบริษัทในการเป็นบริษัทอาหารทะเลที่น่าเชื่อถือในเวทีโลก การทำงานด้านความยั่งยืนของบริษัทมีส่วนในการบรรลุเป้าหมาย Healthy Living, Healthy Oceans หรือการสร้างสุขภาพดีที่ให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลท้องทะเลให้อุดมสมบูรณ์
ในปี 2565 นี้ ไทยยูเนี่ยนจะประกาศนโยบายเกี่ยวกับโลกร้อน ไปพร้อมกับอัพเดทนโยบายด้านความยั่งยืน หรือ SeaChange® เพื่อดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรม
การทำงานด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนยังรวมไปถึงการบริหารจัดการการเงินด้วย ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนเดินหน้าเรื่องการเงินที่ยั่งยืนผ่านโครงการ Blue Finance หรือการเงินเพื่อธุรกิจที่มีส่วนช่วยดูแลท้องทะเล ในประเทศไทยด้วยสินเชื่อและหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนระยะยาว รวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายให้ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเป็น Blue Finance ภายในปี 2568 และเนื่องจาก Blue Finance จะมีการตั้งเป้าหมายการทำงานเกี่ยวกับการดูแลท้องทะเล ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นลงตามผลงานด้านความยั่งยืนที่ได้วางเป้าหมายไว้