นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.นนทบุรี เพื่อขอให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กับพวก
ซึ่งมีพฤติการณ์ส่อเอื้อประโยชน์ให้กับแบ็งค์ใหญ่บางแห่งย่านสีลม โดยไม่สั่งให้มีการสอบสวนเอาผิด ทั้งๆที่อาจผิดต่อระเบียบด้านการทำธุรกรรมสินเชื่อได้
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีบริษัทเอกชน 2 บริษัทได้ร่วมกันทำกิจการร่วมค้าแล้วนำกิจการร่วมค้าไปทำธุรกรรมขอสินเชื่อกับแบงก์ใหญ่บางแห่งย่านสีลม แต่ปรากฏว่าธนาคารดังกล่าวกลับรายงานไปยังศูนย์ข้อมูลเครดิตว่าหนึ่งในบริษัทที่ทำกิจการร่วมค้าข้างต้น มีสินเชื่อประเภทซื้อลดตั๋วเงิน เป็นวงเงินกู้ร่วม มียอดหนี้ค้างอยู่กับธนาคาร 315 ล้านบาท
ส่วนอีกบริษัทที่ร่วมค้าไม่ปรากฎยอดหนี้ร่วมแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่บริษัทแรกดังกล่าวไม่เคยขอสินเชื่อกับธนาคารแห่งนี้แต่อย่างใด และไม่เคยทำธุรกรรมหรือนิติกรรม หรือร่วมกับบบุคล หรือนิติบุคคลอื่นในการขอสินเชื่อกับธนาคารแห่งนี้แต่อย่างใด
ยอดหนี้ที่ปรากฏในศูนย์ข้อมูลเครดิต จึงเป็นหนี้ที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ร้องไปยังแบ็งค์ใหญ่ย่านสีลมให้แก้ไขแล้ว แต่กลับไม่ดำเนินการตามที่ร้องเรียน
กรณีดังกล่าว บริษัทแรกผู้เสียหาย จึงได้ร้องเรียนไปยัง ธปท. เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล สอบหาข้อเท็จจริง และดำเนินแก้ไขเพื่อให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมธนาคารผู้ประกอบกิจการตามพรบ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 อันอาจเป็นการกระทำโดยจงใจอย่างร้ายแรงร่วมกันกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ในฐานะผู้จัดเก็บข้อมูลเครดิตตามพรบ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ตาม ม.16, 17 ทำให้บริษัทผู้ร้องได้รับความเสียหายและต้องเสียโอกาสในการขอสินเชื่อเพื่อดำเนินธุรกิจจากสถาบันการเงินอื่น ๆ ได้
อย่างไรก็ดี แบงก์ชาติกลับแจ้งบริษัทผู้ร้องว่า บริษัทผู้ร้องได้ชำระหนี้ปิดบัญชีให้แก่ธนาคารพิพาทแล้ว จึงไม่ติดใจประเด็นกระบวนการทำงานของธนาคารดังกล่าวอีก
ทั้งที่ความจริงบริษัทฯไม่เคยมีการแจ้งในทางวาจาหรือลายลักษณ์อักษรว่าบริษัทฯไม่ติดใจประเด็นการทำงานของธนาคารพิพาท ตามที่ ธปท.กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งบัญชีหนี้สินดังกล่าวของธนาคารพิพาท ณ ปัจจุบันยังไม่ได้มีการปิดบัญชีแต่อย่างใดและยังคงมียอดหนี้ค้างชำระโดยมีสถานะผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนี้ ธปท.ยังอ้างว่าไม่อาจสั่งการให้ธนาคารพิพาทที่เป็นปัญหากับผู้ร้อง นำส่งข้อมูลของบริษัทฯได้ ซึ่งขัดกับแนวนโยบาย เรื่องการทำธุรกรรมสินเชื่อ ตามหลักเกณฑ์ แนวนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการทำธุรกรรมสินเชื่อฯของสถาบันการเงิน ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ทั้งๆที่ตามกฎหมาย ธปท.มีระเบียบให้ธนาคารทุกแห่งต้องจัดเก็บแฟ้มประวัติของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสมารถตรวจสอบได้
พฤติการณ์ของผู้บริหารแบงก์ชาติจึงไม่น่าไว้วางใจ สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงนำความมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อขอให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดผู้บริหาร ธปท.ที่เกี่ยวข้องต่อไป เพราะหากปล่อยไปอาจทำให้สถาบันการเงินทั้งระบบสั่นคลอนได้