สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงการณ์ความจำเป็นฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นลดเสี่ยง

15 เม.ย. 2565 | 02:54 น.
อัปเดตล่าสุด :15 เม.ย. 2565 | 10:03 น.

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์ความจำเป็นฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดอาการป่วยที่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และลดโอกาสการเกิดภาวะ ลด

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ความจำเป็นของการได้รับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ที่มีการระบุว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น การปล่อยให้ ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Omicron มีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรมชาตินั้น สถาบันมีความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับการส่งต่อข้อมูลที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวอย่างมาก

 

 

ในการนี้ สถาบันขอยืนยันว่า การฉีดวัคนเข็มกระตุ้นในสถานการณ์ที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วนั้น มีความจำเป็นอย่างมาก โดยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยลดอาการป่วยที่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และ ลดโอกาสการเกิดภาวะ (Long COVID ในผู้ใหญ่ รวมถึงภาวะอักเสบ ทั่วร่างกายในเด็ก (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children; Mis-C) จากการป่วยด้วยโควิด 19 ได้จริง หลักฐานเชิงประจักษ์ซี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลย หรือ ฉีดวัคซีนแล้วแต่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งนี้ การฉีดวัคนโควิด 19 เข็มกระตุ้น มีการดำเนินการอย่างกว้างขวาง ทำให้มีรายงานยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล (Vaccine effectiveness) ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาประสิทธิผล

ของวัคซีนที่ใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาในปัจจุบัน (ข้อมูลการประเมินประสิทธิผลวัคนจากการใช้จริง จ. เชียงใหม่ ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.2565 ณ วันที่ 8 เมษายน 2565) ระบุว่า

 

"ในสถานการณ์การระบาดของ Omicron การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 85% และหากได้รับการฉีดวัคซึนเข็มที่ 3 ในระยะเวลาที่เหมาะสม สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 34-68 % และเพิ่มการป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 98-99% และเมื่อมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อครบกำหนดการเข้ารับวัคซีน พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 80-82% โดยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคนเข็มที่ 4"

 

จากผลการประเมินประสิทธิผลวัคนจากการใช้จริงในระดับโลก ทำให้องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และ เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Omicron ด้วยเช่นกัน

 

วัคซีนเข็มกระตุ้น

สถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่า ความครอบคลุมการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นโดยรวมยังค่อนข้างน้อย โดยมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพียง 35% เท่านั้น (ข้อมูลระดับประเทศ ณ วันที่ 8 เมษายน) และจากการเก็บข้อมูลของผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 พบว่า ยังคงเป็นประชากรในกลุ่ม 608 ซึ่งได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 โรค คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในอัตราส่วนที่สูงกว่าประชากรกลุ่มอื่น โดยพบด้วยว่า ประชากรในกลุ่ม 608 ยังมีการเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นค่อนข้างต่ำ

 

ดังนั้น สถาบันจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคร่วม 7 กลุ่มโรคและหญิงตั้งครรภ์ ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนโควิด 19 มาก่อน ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มแรก และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามกำหนดนัดหมาย หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วนานกว่า 3 เดือน ให้รีบเข้ารับการฉีดวัคนเข็มที่ 3 และหากได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 มาแล้ว เป็นเวลา 4 เดือนขึ้นไป ให้รีบเข้ามารับวัคซีนเข็มที่ 4 นอกจากนี้ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ ยังคงเป็นมาตรการสำคัญ ที่เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการฉีดวัคซีนจะช่วยควบคุมการระบาดของโรค ลดโอกาสการกลายพันธุ์ของไวรัส และ ลดความเสี่ยงของการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิผล สถาบันจึงขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัตินตามมาตรการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและบุคคลที่ท่านรัก

 

ด้วยความปรารถนาดีจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ.