นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการหารือทวิภาคี (Bilateral discussions) กับนางแคทเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในการประชุมเอเปคว่า สหรัฐฯถือว่าเป็นคู่ค้าลำดับสำคัญลำดับที่ 3 ของไทย รองจากจีนและ ญี่ปุ่นโดยไทยได้ดุลสหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ปี 2564 มีมูลค่าการค้าระหว่างการ 56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.77 ล้านล้านบาท และสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกลำดับ 1 ของไทยโดยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐ 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 1.31 ล้านล้านบาท สินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่นคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ เป็นต้น
ทั้งนี้ประเด็นที่ฝั่งไทยหารือกับผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ มี 3 ประเด็นสำคัญ ประกอบ 1. ขอให้สหรัฐฯพิจารณาถอดไทยออกจากบัญชีจับตามอง หรือ WL(Watch List) ด้านทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งจะมีการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในเดือนกันยายนปีนี้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่ามีความคืบหน้าอย่างยิ่งในการดำเนินการจัดการการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม
รวมทั้งมีกฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่มีความทันสมัย และมีรายงานจากผู้แทนของสหรัฐฯที่มาติดตามความคืบหน้าการดูแลด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย รายงานไปในทางบวกที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมแล้ว
2.ขอให้สหรัฐฯสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบและแหล่งลงทุนด้านการผลิตวัตถุดิบทั้งขั้นต้นและขั้นกลางให้กับสหรัฐอเมริกา ตามนโยบายของประธานาธิบดีไบเดน ที่ชื่อว่า ซัพพลายอเมริกา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ วัตถุดิบที่จะเป็นวัตถุดิบขั้นกลางในการสนับสนุนการผลิตขั้นต่อไปในสหรัฐฯและได้เชิญชวนมาลงทุนที่เมืองไทยเช่น การผลิตแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า การลงทุนด้านวัตถุดิบเกี่ยวกับอาหาร ยา การลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น
และ3. เนื่องจากปีนี้เราเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ขอให้สหรัฐฯช่วยสนับสนุนการออกแถลงการณ์ร่วมที่เป็นผลจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งสหรัฐฯไม่มีประเด็นขัดข้อง
สำหรับประเด็นที่สหรัฐฯหยิบยกมาคุยกับตนมีด้วยกัน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย1.สหรัฐฯแจ้งว่าสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของประเทศไทยในปีนี้และสนับสนุนการทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าของเอเปค และที่สำคัญปีหน้าสหรัฐอเมริกาจะเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคต่อจากประเทศไทย ขอให้ช่วยสนับสนุนด้วยเช่นเดียวกัน และขอเชิญผู้แทนจากประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกับสหรัฐอเมริกาต่อไปในปีหน้า
2. เรื่องการประชุมองค์การการค้าโลกหรือ WTO (World Trade Organization) ขึ้นมาหารือมีความเห็นที่สอดคล้องกันในภาพรวมทั้ง 2 ประเทศต่างล้วนประสงค์ผลักดันให้มีการประชุมระดับรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกหรือที่เรียกว่า MC 12 (Ministerial Conference)เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญ เช่น การปฏิรูป WTO การจัดตั้งองค์กรอุทธรณ์ของ WTOให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะมีความสำคัญสำหรับกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อองค์กรพิจารณาข้อพิพาทขั้นต้นได้มีคำตัดสินแล้ว ยังสามารถอุทธรณ์ไปยังองค์กรอุทธรณ์ได้ แต่ขณะนี้องค์กรอุทธรณ์ยังไม่มีการจัดตั้งขึ้น ต้องรอผลการประชุมร่วม WTO ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมีความสำคัญในการช่วยยุติข้อพิพาทระหว่างสมาชิก เห็นควรให้จัดตั้งองค์กรนี้โดยเร็ว
และ3. ประเด็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก สหรัฐฯได้แจ้งให้ประเทศไทยรับทราบ และเชิญประเทศไทยเข้าร่วมในการประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก ขึ้นที่กรุงปารีสในวันที่ 11 มิถุนายน 2565 ซึ่งทางไทยได้แจ้งว่าคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมการแสดงเจตนารมณ์เจรจาต่อไป สำหรับการเชิญรัฐมนตรีพาณิชย์เข้าร่วมประชุมในช่วงที่ปารีสนั้นตนรับทราบเป็นการเบื้องต้น
อย่างไรก็ตามในวันที่ 21-22 พ.ค.65จะมีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าเอเปคซึ่งสหรัฐฯจะเข้าร่วมการประชุมด้วยตลอด 2 วัน ถ้ามีประเด็นอะไรเพิ่มเติมก็จะหยิบยกขึ้นมาหารือกันในที่ประชุมได้เพิ่มเติมอีกครั้ง ส่วนความขัดแย้งรัสเซียนั้น ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบกับการประชุมเอเปคในครั้งนี้