สถานการณ์โควิดระลอกใหม่มีการประเมินในเครือโรงพยาบาลว่าจะมีระยะเวลาของการระบาดประมาณ 2 เดือน ซึ่งขณะนี้มีจำนวนผู้ป่วยโควิดและผู้ป่วยทั่วไปเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่นโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ ที่รองรับกลุ่มผู้ป่วยเด็กในพื้นที่นครสวรรค์และใกล้เคียง และปัจจุบันผู้ป่วยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
รวมไปถึงโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ มีผู้ป่วยเข้ารักษาอย่างเนื่องเต็มทั้งหมด 200 เตียง ทำให้ล่าสุดมีการเปิด Hospitel เพิ่มมาอีก 1 แห่ง และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 3-4 แห่ง หากยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเร็วๆนี้ เพื่อรองรับความต้องการผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ปัจจุบันใน Hospitel และโรงพยาบาลหลายแห่งในเครือ รองรับกรณีรักษาโควิด-19 ในกลุ่มคนไข้เงินสด (Selfpay) แทบทั้งหมด ยกเว้น รพ.ศิริเวช ลำพูน ที่รองรับผู้ป่วยสิทธิ์ประกันสังคม เนื่องจากมีการปรับเกณฑ์ในการรักษาให้เป็นการรักษาตามสิทธิ์ ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม “เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์” เปิดเผยว่า โรงพยาบาลในเครือทุกแห่งเร่งเตรียมพร้อมระดมบุคลากรทางการแพทย์ร่วมดูแลผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดง เพื่อร่วมดูแลกับภาครัฐ
โดย รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เปิดวอร์ดผู้ป่วยฉุกเฉินความดันลบ จำนวนถึง 61 เตียง ซึ่งเพียงพอในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะในพื้นที่สมุทรปราการและกรุงเทพฝั่งตะวันออก เช่นเดียวกับผู้ป่วยในกลุ่มผู้รับบริการบัตรทอง "คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ" ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ 18 แห่งทั่วกรุงเทพฯ
พร้อมทั้งร่วมมือกับทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในรูปแบบ "เจอแจกจบ" ที่ยังคงได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์เพื่อติดตามอาการผู้ป่วย โควิด-19 พร้อมทั้งระบบการส่งต่อในกรณีกลุ่มสีแดงและสีเหลือง
เพื่อให้เค้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีตามมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ที่ได้คุณภาพ อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลได้มีการแยกโซนการให้บริการผู้ป่วยโรคอื่นๆ จากผู้ป่วยโควิด-19 หรือผู้ที่มีความเสี่ยงโรคระบบทางเดินหายใจอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ โรงพยาบาลในเครือยังคงเปิดให้บริการรับวัคซีนโมเดอร์นาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาผู้จองเข้ารับการฉีดกันล้นหลามทั่วประเทศ และทยอยเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นกันต่อเนื่องในโรงพยาบาลในเครือฯ ทั้ง 12 แห่งใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งการให้บริการรับวัคซีนโมเดอร์นามีสัดส่วนระมาณ 6-7% ของรายได้รวมโรงพยาบาล
“รายได้ส่วนหนึ่งจากการร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ร่วมกับภาครัฐ ส่งผลต่อไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ของพริ้นซิเพิล แคปิตอล ที่ผ่านมา พลิกมีกำไรสุทธิ 456.6 ล้านบาท เติบโต 363.6% และรายได้รวมกว่า 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 188.4%
แม้ขณะนี้จะมีการปรับเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยโควิด-19 เป็นการรักษาตามสิทธิ์ ทางโรงพยาบาลในเครือฯ ปรับการให้บริการตอบโจทย์กับผู้รับบริการให้เข้าถึงการรับบริการ โดยปรับราคาลงด้วยแพ็คเกจ 5 วัน, 7 วัน เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงการรักษาในสถานพยาบาลเอกชนได้ง่ายและมีพื้นที่ในการแยกกักตัวพร้อมแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่บริษัทยังคงเป้ารายได้ปีนี้เติบโตประมาณ 20-25%”
นายธานี กล่าวอีกว่า PRINC พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลยั่งยืน (Sustainable hospital) ในปี 2566 ด้วยนโยบาย Zero Waste to Landfill ด้วยการกำจัดกากหรือของเสียโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เริ่มตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา พร้อมมุ่งสู่แผนการดำเนินงานที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามปณิธานของเครือโรงพยาบาลพริ้นเพิล เฮลท์แคร์ ที่มุ่งสร้างคนให้มีจิตใจของความเป็นผู้ให้ พร้อมทั้งดูแลคน ชุมชนและสังคมอย่างยังยืน