นายเกียรติศักดิ์ กายสุต ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านหาดสูง ต.หาดสูง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ กล่าวกรณีนักการเมืองตั้งข้อสังเกตการเสนอกรอบการของบประมาณของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี 2566 แบบก้าวกระโดดจากเดิมได้รับจัดสรรอยู่ประมาณสองพันกว่าล้านบาท
ทว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กลับเพิ่มขึ้นไปถึง 15,260 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศ ภายใต้โครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้นำไปใช้จัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งในการที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณสนับสนุนศูนย์ข้าวชุมชนทั่งประเทศ เป็นการสร้างความเข้มแข็ง มั่งคงอย่างยั่งยืนให้กับชาวไทย
ที่ผ่านมาแม้หน่วยงานหลักอย่างกรมการข้าวสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตร แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับปริมาณการผลิตข้าว ทั้งยังเป็นการลดต้นทุนได้อีกด้วย
“เครื่องจักรที่ศูนย์อยากได้ก็มี รถไถ รถหว่านข้าว รถเกี่ยว ตอนนี้แรงงานหายากมากแล้วก็ค่าจ้างแพงด้วย มันคือต้นทุน หากได้มาก็จะช่วยสมาชิกได้เยอะมาก
นอกจากนี้ยังต้อง เครื่องอบความชื้น เครื่องคัดเมล็ดพันธ์ โดรนฉีดพ่นปุ๋ยและยาฆ่าโรคและแมลง ที่มีตอนนี้คือเครื่งอคัดเมล็ดพันธุ์สนับสนุนโดยกรมการข้าวใช้ดีมาก ได้มาเมื่อ 2 ปีที่แล้วแต่เป็นตัวเล็กอยากได้ตัวใหญ่กว่านี้ ด้วยปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น”ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านหาดสูงกล่าว
สำหรับศูนย์ข้าวชุมชนบ้านหาดสูง ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 มีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 50 ราย มีพื้นที่ปลูกข้าวครอบคลุมกว่า 600 ไร่ ให้ผลผลิตข้าวเฉลี่ย 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนใหญ่ปลูกปีละ 2 ครั้ง
มีทั้งนาปีและนาปรัง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตชลประทาน โดยสายพันธุ์ที่ปลูกถ้าเป็นนาปีจะปลูกข้าวหอมมะลิ105 พิษณุโลก 80 ส่วนนาปรังเป็นข้าวกข.ทั่วไป
โดยปีนี้ราคาค่อนข้างดีเฉลี่ยอยู่ที่ 8,000-9,000 บาทสำหรับข้าวนาปรัง ถือว่าอยู่ได้แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ 5,000-6,000 ต่อไร่ อัน เนื่องมาจากราคาปุ๋ยเคมีที่แพงขึ้นเป็นเท่าตัว
นายเกียรติศักดิ์เห็นด้วยกับการรวมกลุ่มของชาวนาภายใต้ศูนย์ข้าวชุมชนมากกว่ารายเดี่ยว เนื่องจากง่ายต่อการบริหารจัดการ การถ่ายทอดองค์ความรู้
ขณะที่เกษตรกรรายเดี่ยวไม่ค่อยพัฒนายังคงใช้องค์ความรู้แบบเดิม จึงยากต่อการพัฒนาผลผลิตข้าวให้มีคุณภาพ ตลอดการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สุงสุด ทั้งยังง่ายต่อการรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ ภาครัฐอีกด้วย
“งบหมื่นห้าพันล้านที่รัฐบาลและกรมการข้าวเสนอเตรียมจัดสรรให้กับศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเพื่อให้ศูนย์ฯเข้มแข็ง ถ้าศูนย์เข็มแข็งชาวนามีรายได้อยู่ดีกินดีก็ไม่ต้องพึ่งพารัฐให้เข้ามาช่วย แต่เป็นสิ่งที่นักการเมืองไม่ต้องการ เพราะเขาจะเสียผลประโยชน์
ลองไปเช็คดูได้นักการเมืองเกินครึ่งสภาหมวกอีกใบเป็นพ่อค้า เจ้าของโรงสี หากศุนย์ฯข้าวเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ บริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากข้าวเปลือกสีเป็นข้าวสารบรรจุถุงขายหรือแปรรูปเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ ไม่มีการขายข้าวเปลือกแบบเดิม เท่ากับเป็นการตัดแข้งตัดขาพ่อค้า โรงสีจะเสียประโยชน์ ไม่มีข้าวเปลือกขาย
เพราะโรงสีส่วนใหญ่เจ้าของเป็นนักการเมือง”ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านหาดสูงย้ำชัดและอยากวิงวอนนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาให้เข้ามาดูแลผลประโยชน์ชาวนาอย่างจริงจัง ปลดแอกจากนักการเมืองเพราะไม่เช่นนั้นชาวนาก็จะอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้
เช่นเดียวกับนายกาเรียน พรมอยู่ ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านท่าตาเสือ ต.วัดขวาง อ.โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดงบประมาณจำนวน 15,000 ล้านบาทที่เสนอโดยกรมการข้าว เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตรให้กับศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศ เพราะสมาชิกจะได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการช่วยชาวนาสามารถลืมตาปากได้ ที่สำคัญเป็นการสนองนโยบาย4.0 ของรัฐบาลในการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาช่วยอาชีพการทำนาในการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
“ถ้ารัฐบาลต้องการช่วยชาวนา ตอนนี้ต้องเริ่มแล้วแต่อย่าไปกระจุก ต้องกระจายสมาชิกต้องได้รับประโยชน์สูงสุด เป็นการดึงดูดให้ชาวนามารวมกลุ่มกันมากขึ้น ทำให้เขาลืมตาอ้าปากได้ ถ้าไม่เป็นกลุ่ม เขาก็จะไม่ยอมเรียนรุ้จะทำนาแบบเดิม ๆ
ถ้าทำอย่างนี้สามารถให้เขาวิธีคิดได้ เห็นจากแปลงใหญ่ที่เขาใช้เครื่องจักรร่วมกัน ใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกัน ลดต้นทุนได้เยอะมาก อยากให้ศูนย์ข้าวเหมือนแปลงใหญ่ แต่แปลงใหญ่ไม่เวิร์คมีพืชหลากหลาย เกษตรกรไม่ใช่มือบริหาร ส่วนศูนย์ฯข้าวสมาชิกทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญการทำนา รู้วิธีการผลิตเพียงแต่ขาดเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านท่าตาเสือย้ำชัด
นายกาเรียนเผยต่อว่าปัจจุบันศูนย์ข้าวชุมชนบ้านท่าตาเสือมีสมาชิก 32 ราย มีพื้นที่ปลูกข้าวครอบคลุมกว่า 600ไร่ มีภารกิจหลักในการผลิตเมล็ดพันธุ์ส่งให้กับกรมการข้าวและจำหน่ายให้กับสมาชิกและเกษตรกรทั่วไปปีละประมาณ 100 ตัน ขณะเดียวกันก็ผลิตข้าวส่งโรงสีในรูปของข้าวเปลือก ส่วนหนึ่งก็แปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงภายใต้แบรนด์”ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านท่าตาเสือ”
“ศูนย์ข้าวชุมชนมีความต้องการอย่างมากวัสดุอุปกรณ์ อยากฝากไปถึงนักการเมืองขอให้ผ่านงบตัวนี้นะครับ เพราะมีประโยชน์กับชาวนามากกว่าที่จะมาโจมตีกัน ผมอยากเห็นท่านนายกฯเห็นความสำคัญเรื่องกลุ่ม เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในเวลานี้
เกษตรกรชาวนาจะได้ประโยชน์มหาศาลแน่ ๆ ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมากกว่าทำรายเดี่ยว ปรับเปลี่ยนการทำนาแบบเดิม ๆ มาเป็นชาวนามืออาชีพ” นายกาเรียน พรมอยู่ ประธานศูนย์ข้าวชุมชนบ้านท่าตาเสือ กล่าวย้ำทิ้งท้าย