นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นและประชาสัมพันธ์โครงการศึกษาและจัดทำระบบประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานการขนส่งทางรางในแต่ละสายทางของประเทศ ว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ เพื่อเป็นหน่วยงานเรกกูเรเตอร์ ดูแลระบบราง ทั้งในเมือง รถไฟฟ้าภูมิภาค โครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งเป็นการกำกับโดยมีตัวชี้วัด ระดับหน่วยงานกำกับดูแลระบบขนส่งทางราง (RI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่เป็นตัวกำกับ โดยให้ความสำคัญกับการให้บริการ และมีผลกระทบต่อผู้โดยสารโดยตรง รวมทั้งเป็นตัวชี้วัดในการติดตามผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาระบบขนส่งทางราง ซึ่งมีทั้งหมด 19 ตัวชี้วัด อาทิ อัตราการเกิดอุบัติเหตุ อัตราการเสียชีวิตของผู้โดยสาร ประสิทธิภาพการให้บริการ และปริมาณการขนส่งสินค้า
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมฯ ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ฉบับใหม่ เข้าสู่รัฐสภา โดยมีสภาผู้เแทนราษฎรโหวตรับหลักการ ปรากฎว่ามีผู้เห็นด้วย 251 คน และไม่เห็นด้วย 1 คน จากทั้งหมด 252 คน หมายความว่าประชาชนเห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ที่จะต้องพัฒนาการให้บริการด้านระบบขนส่งทางรางให้ดีขึ้น เบื้องต้นในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญ จะมีการแปรญัตติรอบแรก ซึ่งระบุว่าทางสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเสนอคำแปรญัตติภายใน 15 วัน
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นจะเริ่มนำคำสงวนคำแปรญัตติมาพิจารณาว่าควรแก้ไขร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวหรือไม่ หากมีการแก้ไขเล็กน้อยจะทำใหห้การพิจารณาร่างกฎหมายเร็วขึ้น เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรท่านใดขอแก้ไขเพิ่มเติม ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปจะเสนอต่อรัฐสภาในวาระที่ 2-3 ได้เร็วขึ้น โดยคาดว่ากระบวนการพิจารณาในรัฐสภา จะแล้วเสร็จพร้อมประกาศใช้ในช่วงต้นปี 2566 หลังจากร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเริ่มดำเนินการออกประกาศกฎกระทรวงทั้งหมด 54 ฉบับ ซึ่งมีระยะเวลาในการออกประกาศ 90 วัน
"หลังจาก พ.ร.บ.ขนส่งทางรางฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้แล้ว กรมฯ จะกำหนดข้อบังคับให้เจ้าของหน่วยงานของแต่ละโครงการส่งข้อมูลตัวชี้วัดการให้บริการที่ส่งผลกระทบกบประชาน หลังจากนั้นประชาชนจะสามารถทราบข้อมูลดังกลาวผ่านทางเว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น ของกรมฯ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการให้บริการ นอกจากนี้ หากเจ้าของหน่วยงานของแต่ละโครงการไม่ปฏิบัติการข้อบังคับของกรมฯ จะมีบทลงโทษทางปกครอง หรือปรับเงิน และบทลงโทษทางอาญาต่อไป"