‘อาหาร-พลังงาน’เจอด่านแรก แบงก์ขึ้นดอกเบี้ยรับกนง.

ดัชนีเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนและต่อเนื่อง หนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตรา 0.25% จาก 0.50% สู่ระดับ 0.75% มีผลทันที 10 สิงหาคม 2565 ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กำหนดแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 ในวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน EIC ธนาคาร ไทยพาณิชย์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กนง. มีสัญญาณชัดเจนที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง หลังมองว่า เศรษฐกิจไทย จะกลับมาฟื้นตัวปกติปลายปีนี้และมองแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะดีกว่าคาด ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยว 5 เดือนหลัง จะเร่งขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ 7.4 ล้านคนเป็น 10 ล้านคน

แม้ระยะข้างหน้าภาพเศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัวตามลำดับแรงงานที่มีงานทำ มีรายได้ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกยังมีความท้าทายจากความไม่แน่นอนอุปสงค์ที่ชะลอตัว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการสะท้อนความรู้สึกย่อลงและความเสี่ยงใหม่จากภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยในปีหน้า และทิศทางค่าเงินบาทปลายปีจะอยู่ที่ระดับ 35.5-36.5 บาท/ดอลลาร์ จากส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐและไทยแคบลงและความต้องการเงินบาทจะเพิ่มตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา

นายธรรมรัตน์ กิตติสิริพัฒน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/65 จะออกมาเป็นบวกและทั้งปีจะเติบโต 2.0% แต่ยังเป็นห่วงต้นทุนค่าครองชีพ จึงไม่คาดหวังว่า การใช้จ่ายหรือการอุปโภคบริโภคจะสูง ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่ตลาดรอลุ้นคือ เงินเฟ้อ โดยเฉพาะฝั่งต้นทุน การสนับสนุนน้ำมันดีเซลจะกลับมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรหรือไม่ หรือค่าแรงขั้นต่ำที่มีตัวเลขเบื้องต้น 5-8% และเสถียรภาพรัฐบาล

ส่วนทิศทางดอกเบี้ยว่า ช่วงที่เหลือ กนง. ยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราปกติ 0.25% ตามเสียงกรรมการส่วนใหญ่ และมีน้ำหนักกรรมการเพียง 1 เสียงที่เสนอให้ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และกนง.ไม่น่าจะปรับตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในรอบประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

ขณะที่ดอกเบี้ยในตลาดในที่สุดจะต้องปรับขึ้น เพื่อสะท้อนการส่งผ่านนโยบายให้เกิดผล โดยเฉพาะการดึงเงินเฟ้อลดลง แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารขึ้นกับการออกแบบของแต่ละแห่งเช่น แบ่งกลุ่มลูกค้าตามความแข็งแรง หรือไม่แข็งแรง โดยหากเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่แข็งแรงแล้วสามารถรับดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นได้ แต่หากเป็นกลุ่มที่ยังไม่แข็งแรง นอกจากไม่ปรับดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารยังมีเครื่องมือดูแลเพื่อให้ลูกค้าอยู่รอดได้ภายใต้มาตรการปรับโครงสร้างหนี้

“หากแบงก์เลือกปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นบางกลุ่ม อาจจะแบ่งตามโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มส่งออกสินค้า กลุ่มพลังงาน หรือกลุ่มค่าส่งค้าปลีก เหล่านี้สะท้อนความแข็งแรงผ่านผลประกอบการไตรมาส2ที่ทยอยออกมา” นายธรรมรัตน์กล่าว

สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากธนาคารให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแต่ละแห่งจะเฟ้นหรือแยกลูกค้าเป็นรายเซ็กเตอร์ เช่น กลุ่มอาหาร กับกลุ่มพลังงาน ซึ่งได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อปรับขึ้น หรือบางธนาคารอาจจะแยกกลุ่มลูกค้าตามโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสื่อสาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่กลุ่มนี้ยังมีความอ่อนไหว

“แบงก์จะเลือกกลุ่มที่แข็งแรงและได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อสูงก่อน เพราะกลุ่มรายใหญ่ที่แข็งแรงอยู่ในข่ายจะรับอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นได้ และแบงก์คงจะปรับดอกเบี้ยขึ้นเพียง 60% ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับขึ้น 0.25% หรืออีกนัยหนึ่งแบงก์อาจจะเลือกขึ้นดอกเบี้ยลูกค้า 6 รายจาก 10 รายในเซ็กเตอร์เดียวกัน เพราะการฟื้นตัวยังเป็น K-Shape”แหล่งข่าวระบุ

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า ธนาคารสมาชิกสมาคมธนาคารไทยจะชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปในกลุ่มลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ส่วนรายใหญ่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับดอกเบี้ย แต่ต้องดูผลกระทบกลับมาในตลาดด้วย เพราะการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ก็ต้องดูเงินฝากด้วย ซึ่งต้องดูสภาพคล่องของระบบ หากไหลออกไปสู่ตลาดตราสารหนี้และกระทบโครงสร้างเงินฝากธนาคารก็ต้องปรับตัว ขึ้นกับพอร์ตของธนาคารด้วย

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,809 วันที่ 14 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2565