thansettakij
นายกฯ สั่งลุย 18 นโยบายกู้เศรษฐกิจ เร่งแก้หนี้-ลดค่าครองชีพ

นายกฯ สั่งลุย 18 นโยบายกู้เศรษฐกิจ เร่งแก้หนี้-ลดค่าครองชีพ

01 ก.พ. 2568 | 04:16 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.พ. 2568 | 04:24 น.

นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” จี้ทุกหน่วยงานเร่งเครื่องลุย 18 นโยบายใหญ่ ทั้งระยะเร่งด่วน และระยะกลาง-ยาว หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ แก้ปัญหาหนี้สิน ช่วยเหลือเอสเอ็มอี สั่งรายงานความคืบหน้าทุกวันที่ 5 ของเดือน

ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 5 สำหรับการเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” โดยในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะ “นโยบายเร่งด่วน” ดำเนินการทันที 10 เรื่อง

ล่าสุดบางนโยบายจะถูกผลักดันออกมาแล้ว แต่ในบางเรื่องกลับยังไม่สะเด็ดน้ำ นั่นจึงทำให้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ม.ค.68 ที่ผ่านมา นายกฯ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งผลักดันนโยบายเร่งด่วน และนโยบายระยะกลางและยาว อีก 8 เรื่อง พร้อมกำชับให้รายงานความคืบหน้าเป็นประจำทุกเดือน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ เร่งผลักดันนโยบายของรัฐบาลนั้น สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงหัวหน้าหน่วยงานทุกกระทรวงแล้ว เพื่อรับทราบมติครม. พร้อมมอบหมายหน่วยงานเจ้าภาพหลักและหน่วยงานสนับสนุนของแต่ละนโยบาย รายงานผลการดำเนินงานผ่านระบบติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีตามนโยบายรัฐบาล ทุกวันที่ 5 ของเดือน

แผนขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล แผนขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล

พร้อมกันนี้ยังให้ผู้ประสานงานการติดตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (ปกตน.) ซึ่งเป็นผู้แทนจากส่วนราชการต่างๆ ประสานงานกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรายงานผลการดำเนินงานเพื่อจัดทำผลงานรัฐบาลร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยจะจัดทำเป็นรายงานผลงานรัฐบาลปีแรก เพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะในวันที่ 12 กันยายน 2568 ต่อไป

สำหรับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลตามข้อสั่งการนายกฯ มีด้วยกัน 18 ประเด็นสำคัญ ส่วนแรกเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล 10 เรื่อง อีกส่วนคือ นโยบายระยะกลางและระยะยาว อีก 8 เรื่อง มีดังนี้

ดัน 10 นโยบายเร่งด่วน

นโยบายเร่งด่วน 10 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ 2.การส่งเสริมผู้ประกอบการไทย และเอสเอ็มอี 3.การเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค 4.การนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี 5.การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายสำคัญคือการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet)

6.การยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย 7.การส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้าง 8.การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร 9.การเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ และ 10.การจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

เร่ง 8 นโยบายกลาง-ยาว

นโยบายระยะกลางและระยะยาว 8 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม ทั้งการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคต และการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

2.การส่งเสริมโอกาสในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด และการต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เน้นการดึงดูดนักลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ รวมไปถึงการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของโลก

3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม การเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนโครงสร้างทางภาษีครั้งใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ

4.การส่งเสริมและผลักดันการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัย ผ่านการส่งเสริมการเกิดและเติบโตของเด็กทุกคน ยกระดับทักษะปลดล็อกศักยภาพของคนไทยเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ การยกระดับสาธารณสุขให้ดีกว่าเดิมภายใต้นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” และการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ

5.การสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสร้างการมีส่วนร่วมในการรับมือภัยพิบัติ การยกระดับการบริหารจัดการน้ำ และสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน

6.พลิกฟื้นความเชื่อมั่นคนไทยและต่างชาติ โดยเร่งการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตย การปฏิรูปกองทัพ และการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน

7.การต่างประเทศ เน้นการรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ การเดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก เร่งเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าสำคัญ

8.การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและดำเนินนโยบายการคลัง โดยบริหารค่าใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณกระจายเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงการใช้แหล่งเงินนอกงบประมาณ และให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน

เดินหน้าดันไทยสู่ Medical Hub

สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Care and Wellness Economy) และบริการทางการแพทย์ (Medical Hub) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หนึ่งในแกนหลักในการขับเคลื่อนนโยบายข้างต้นซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วหลายด้าน โดยเฉพาะการยกระดับและพัฒนาบริการด้านแพทย์แผนไทยและนวดไทยซึ่งได้บูรณาการร่วมกับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ

เช่น IMC (Intermediate Care) โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 15.8 หรือจากจำนวน 20,200 ราย ขยับเป็น 34,700 ราย พัฒนาหมอนวดแล้วกว่า 2 แสนคน หมอพื้นบ้าน 4.8 หมื่นคน พร้อมยกระดับไปสู่หมอนวดมือทองขั้นเทพตามลำดับ มีโรงเรียนสอนนวด 412 แห่งทั่วประเทศ พัฒนาหลักสูตรการนวด 15 หลักสูตร และสถานประกอบการเอกชนและของรัฐ จำนวน 2.2 หมื่นแห่ง

ในส่วนของสมุนไพรไทย ได้พัฒนามาตรฐาน GACP (Good Agricultural and Collection Practices) ยกระดับ Herbal Champions 15 รายการ ล่าสุด กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ประกาศผลักดัน “ขมิ้นชัน” ซึ่งเป็น 1 ใน 15 สมุนไพร Herbal Champions ของไทยในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม ผลักดันให้มีการผลิต “ขมิ้นชัน” ในรูปแบบของสารสกัดเพื่อเพิ่มมูลค่าและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันของประเทศ

จากข้อมูลระบุว่า “ขมิ้นชัน” เป็นสมุนไพรที่นิยมแพร่หลายในตลาดโลก โดยในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 7,977.82 ล้านบาท ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาด 5.6% หรืออยู่ที่ 450.24 ล้านบาท ตลาดขมิ้นชันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2570 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะเติบโตทะลุกว่า 1.09 หมื่นล้านบาท โดยประเทศไทยจะมีมูลค่า 550 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 11.4%

นอกจากนี้ยังมีเมืองสมุนไพร Herbal City 16 จังหวัด และมีตลาดกลางวัตถุดิบสมุนไพรแห่งแรกของประเทศ นอกจากนี้ได้ยกระดับคุณภาพโรงงานผลิตสมุนไพรร่วมกับ อย. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 850 แห่งจาก 1 พันแห่ง เพิ่มโรงงานผลิตสารสกัดสมุนไพรจาก 11 แห่งเป็น 24 แห่ง ยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพร Premium Herbal Products จำนวน 1,257 รายการ และ Prime Minister Herbal Awards รวม 1,323 รายการ ยกระดับ wellness และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภูมิปัญญาไทยและสมุนไพร 330 แห่ง

ขณะที่ “30 บาทรักษาทุกที่” ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว นโยบายเรือธงของรัฐบาลซึ่งต่อยอดมาจากนโยบายเดิม “30 บาทรักษาทุกโรค” ได้เปิดให้บริการกับประชาชนครอบคลุมทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มสิทธิบริการด้านการแพทย์แผนไทยฯ ให้กับประชาชนสิทธิบัตรทอง (สิทธิ 30 บาท) จาก 20.01 บาทต่อหัวประชากร เป็น 31.20 บาท

รวมถึงเพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ จำนวน 120 รายการเพื่อให้บริการกับคนไทยมากยิ่งขึ้นด้วย สำหรับปีนี้กระทรวงสาธารณสุขพร้อมขับเคลื่อนนโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” โดยจะจัดทำคู่มือมาตรฐานการรักษาพยาบาล สนับสนุนการใช้ยาและบัญชียาสมุนไพรแพทย์แผนไทย 27 รายการ เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ยาไพล ยาประคบ ยาแก้ไอผสมมะขามป้อม เป็นต้น

ชูมรดกทางวัฒนธรรมกระตุ้นศก. -Soft Power

ส่วนนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลในเรื่องการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นั้น

นางสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรม โดยนำมรดกทางวัฒนธรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ และ Soft Power เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายสำคัญดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยจะส่งเสริมการสร้างสรรค์ทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นทุนทางเศรษฐกิจ

โดยจะยกระดับแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม โบราณสถาน ภูมิปัญญาพื้นบ้าน เพื่อผลักดันให้เกิดการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก อย่างล่าสุดจะเสนอให้ “วัดพระมหาธาตุฯ นครศรีธรรมราช” ขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมแหล่งที่ 6 ของไทยและมรดกโลกแห่งแรกของภาคใต้

รวมถึงการยกระดับสินค้าชุมชน และโอท็อป ให้มีมาตรฐาน และดีไซน์ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก โดยจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการเพิ่มช่องทางจำหน่าย สร้างรายได้ให้กับชุมชน และผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดโลกอย่างยั่งยืน ผ่านเว็บไซต์ CPOT (www.cpotshop.com) เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก และจะเน้นอบรมเสริมทักษะให้กับชุมชนและผู้ประกอบการจาก 76 จังหวัด เพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยสู่ตลาดโลก รวมถึงการปลุกกระแสการท่องเที่ยววิถีชุมชน

นอกจากนี้ยังจะสนับสนุนและส่งเสริมการปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ทั้งอาหารท้องถิ่นไทย ผ้าไทย มวยไทย ศิลปะการแสดงไทย ดนตรีไทย ผสมผสานกับศิลปะร่วมสมัย โดยจะเน้นการเผยแพร่ Soft Power ไทยสู่โลก

สำหรับนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว และแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างนั้น ในเรื่องของการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มไมซ์ และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1,892 ล้านบาทนั้น ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลได้ออกวีซ่าใหม่ล่าสุด DTV วีซ่า หรือ Digital Nomad Visa ราคา 1 หมื่นบาท อยู่ในไทยได้ 180 วัน

ส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ นอกจากเรือธงในการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร ก็จะดึงคอนเสิร์ตและการแข่งขันกีฬาระดับโลกเข้ามาจัดในไทย และการกระจายการท่องเที่ยวเมืองรอง ผ่านแคมเปญ 365 วัน มหัศจรรย์เมืองน่าเที่ยว ผลักดันเที่ยวไทยตลอดทั้งปี