thansettakij
สำรวจถนนสายใหม่ R11 เชื่อมโยงระเบียงศก. เชียงใหม่-เวียงจันทน์

สำรวจถนนสายใหม่ R11 เชื่อมโยงระเบียงศก. เชียงใหม่-เวียงจันทน์

16 มี.ค. 2568 | 23:32 น.

NEDA ผลักดันความร่วมมือไทย-สปป.ลาว พัฒนาเส้นทางถนน R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ “เผ่าภูมิ” รับหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดเส้นทาง

KEY

POINTS

  • NEDA พัฒนาเส้นทางถนน R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ – เวียงจันทน์ ระยะทาง 629 กม. ภายใต้ความร่วมมือไทย-สปป.ลาว
  • เส้นทางถนน R11 เปิดใช้อย่างเป็นทางการ 20 ก.พ.67 ช่วยลดระยะทางกว่า 234 กม. จากเส้นทางเดิม ช่วยประหยัดเวลากว่า 3 ชม.
  • รมช.“เผ่าภูมิ” เชื่ออานิสงส์จากการพัฒนาเส้นทาง R11 ช่วยหนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า ขนส่ง ท่องเที่ยว ตลอดทั้งเส้นทาง
     

สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) หรือ สพพ. NEDA นำคณะผู้บริหาร และสื่อมวลชน ร่วมสำรวจการพัฒนาเส้นทางถนนหมายเลข 11 (R11) เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ รวมระยะทางประมาณ 629 กม.

พร้อมจัดงานเสวนา“ความสัมพันธ์และความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทยกับสปป.ลาว” โดยมี นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “บทบาทของ สพพ. ในโครงการพัฒนาระหว่างไทย-สปป.ลาว” วันที่ 14 มีนาคม 2568 ที่นครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว 

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระหว่างไทยกับสปป.ลาว ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาร่วมกัน

 

การพัฒนาถนนหมายเลข R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ไทย-สปป.ลาว การพัฒนาถนนหมายเลข R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ไทย-สปป.ลาว

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา NEDA ได้มีการสนับสนุนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกทางการเงิน รวมไปถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค ล่าสุดได้พัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) โดยเป็นส่วน สำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) เชื่อมโยงและการค้าระหว่างไทยและ สปป.ลาว 

โดยมีเส้นทางเริ่มต้นที่จังหวัดเชียงใหม่ - ลำพูน - ลำปาง - แพร่ - อุตรดิตถ์ - ด่านภูดู่ - เมืองสังข์ทอง - เวียงจันทน์ รวมระยะทาง ในประเทศไทยประมาณ 391 กม. ผ่านเข้าสู่ สปป.ลาว ประมาณ 238 กม. รวมระยะทางตามแนวการเชื่อมโยงระเบียง เศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ ประมาณ 629 กม. ซึ่งขณะนี้การพัฒนาเส้นทาง R11 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในช่วงสุดท้ายแล้ว เพื่อให้เป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อไป

"เส้นทางนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการเชื่อมจุดไข่แดงของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ ทั้งเชียงใหม่ และเวียงจันทร์ เพราะในอดีตการเดินทางระหว่างเส้นทางนี้ใช้เวลามหาศาล เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่เอื้ออำนวย ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง ขนส่ง ค้าขาย ท่องเที่ยวระหว่างกันทำได้ยาก ดังนั้นการพัฒนาเส้นทาง R11 ขึ้นมา จึงร่นระยะเวลาได้ 3-4 ชม. ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตได้อีกมาก" นายเผ่าภูมิ ระบุ

 

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยในงานเสวนา “ความสัมพันธ์และความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทยกับสปป.ลาว” ของ NEDA นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยในงานเสวนา “ความสัมพันธ์และความสำเร็จของโครงการความร่วมมือไทยกับสปป.ลาว” ของ NEDA

 

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า การพัฒนาเส้นทาง R11 นั้น ไม่ใช่แค่การพัฒนาเส้นทางขนส่งอย่างเดียว แต่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การโอนถ่ายองค์ความรู้ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางอีกด้วย โดยความร่วมมือครั้งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อรองรับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นายพีรเมศร์ วุฒิธรเนติรักษ์ ผู้อำนวยการ สพพ. หรือ NEDA กล่าวว่า การพัฒนาถนนหมายเลข R11 ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน-สานะคาม - บ้านวัง - บ้านน้ำสัง ได้ถูกออกแบบให้เป็นถนน 2 ช่องจราจรตามมาตรฐานทางหลวงอาเซียน โดยเป็นส่วนสำคัญของระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ 

 

เส้นทางถนนหมายเลข R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ไทย-สปป.ลาว เส้นทางถนนหมายเลข R11 เชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ ไทย-สปป.ลาว

 

ทั้งนี้ สพพ. ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับโครงการดังกล่าว แบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

  1. โครงการก่อสร้างถนนภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) ถึง เมืองปากลาย แขวงไชยะบุรี สปป.ลาว ระยะทางรวม 32 กม. ในวงเงิน 718 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือนธันวาคม 2555 แล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2557
  2. โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงบ้านตาดทอง-น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง ระยะทางรวม 82 กม. ในวงเงิน 1,392 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนพฤษภาคม 2554 แล้วเสร็จเดือนกรกฎาคม 2557 
  3. โครงการพัฒนาถนนหมายเลข 11 (R11) ช่วงครกข้าวดอ - บ้านโนนสะหวัน - สานะคาม - บ้านวัง -บ้านน้ำสัง ระยะทางรวม 124 กม. ในวงเงิน 1,826.50 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง เดือนตุลาคม 2562 แล้วเสร็จเตือน กรกฎาคม 2566 

อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้ง 3 โครงการมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจของไทยและสปป.ลาว รวมถึง เชียงใหม่และเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือของไทยและสปป.ลาว 

 

ด่านชายแดน ภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ เชื่อมสปป.ลาว ด่านชายแดน ภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ เชื่อมสปป.ลาว

 

นายพีรเมศร์ กล่าวว่า ถนนสายนี้เชื่อมจาก ด่านภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร เพื่อรองรับการค้าระหว่าง ประเทศ ไปยัง แขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในลุ่มแม่น้ำโขง ที่ช่วย อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมืองปากลาย 

โดยเชื่อมต่อจากด่านภูดู่ถึงเมืองปากลายระยะทาง 32 กม. และต่อไปยังเมืองสังข์ทอง แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ผ่านโครงการถนน R11 ช่วงบ้านตาดทอง -น้ำสัง และเมืองสังข์ทอง รวมระยะทาง 82 กม.

 

เส้นทางถนนสาย R11 ระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ สปป.ลาว เส้นทางถนนสาย R11 ระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ สปป.ลาว

 

เส้นทางนี้เป็น Missing Link สุดท้ายที่เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมของระเบียงเศรษฐกิจ CVEC โดยช่วยลดระยะทางกว่า 234 กิโลเมตร จากเส้นทางเดิม (เชียงใหม่-อุตรดิตถ์-พิษณุโลก-ขอนแก่น-หนองคาย-นครหลวงเวียงจัน ที่มีระยะทางประมาณ 863 กิโลเมตร ทำให้ประหยัดเวลาเดินทางได้มากกว่า 3 ชั่วโมง และมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567

สำหรับเส้นทางช่วงนี้ลัดเลาะไปตามแม่น้ำโขง มีทัศนียภาพงดงาม และช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ ชุมชนท้องถิ่นในเมืองสานะคาม บ้านวัง และบ้านน้ำสัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยรวมแล้วการเดินทางจากเชียงใหม่สู่ด่านภูดู่ และเข้าสู่เส้นทาง R11 ผ่านเมืองสังข์ทองไปจนถึงครกข้าวดอใช้เวลารวมประมาณ 10 - 11 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและสภาพอากาศ 

 

ถนนหมายเลข 11 (R11) เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) เลียบแม่น้ำโขง ถนนหมายเลข 11 (R11) เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจเชียงใหม่ - เวียงจันทน์ (CVEC) เลียบแม่น้ำโขง

 

อย่างไรก็ดีเส้นทาง R11 นี้ไม่เพียงแต่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางระหว่างภาคเหนือของไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ แต่ยังเป็นเส้นทางที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยและ สปป.ลาว ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 

ประโยชน์ของโครงการ R11

 

ด่านชายแดนภูดู่ ระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ สปป.ลาว ด่านชายแดนภูดู่ ระเบียงเศรษฐกิจ เชียงใหม่-เวียงจันทร์ สปป.ลาว

 

  1. สร้างความเชื่อมโยงเชิงกายภาพระหว่างสองประเทศและอนุภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การ เดินทางของประชาชนและการขนส่งตามแนว CVEC มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้นทำให้ต้นทุนการ เดินทางและขนส่งระหว่างกันลดต่ำลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างสอง ประเทศให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการค้าชายแดน ณ ด่านภูดู่
  2. ส่งเสริมการใช้สินค้า วัสดุ และอุปกรณ์ก่อสร้างของไทย และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทย เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว มากขึ้น
  3. ส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยและลาว โดยเฉพาะในแขวงไชยะบุรี เมืองปากลาย และแขวงนครหลวงเวียงจันทน์ และเพิ่มโอกาสทางการค้าชายแดนผ่านด่านภูดู่ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นด่านถาวร
  4. สนับสนุนการท่องเที่ยวและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
  5. ลดระยะทางและระยะเวลาการเดินทาง และเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญใน เส้นทางอาเซียน-จีน และสอดคล้อง กับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ GMS (Greater Mekong Subregion)

 

สำรวจถนนสายใหม่ R11 เชื่อมโยงระเบียงศก. เชียงใหม่-เวียงจันทน์