ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ตอนที่ 1 บทเรียนจากอดีต

17 มี.ค. 2568 | 08:43 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2568 | 08:57 น.

บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ" ตอนที่ 1 บทเรียนจากอดีต วิกฤติการเงินโลก โดย ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่ WTO และอดีตเลขาธิการ UNCTAD

บทความ "ระเบียบโลกใหม่: ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ"

โดย ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการบรรยาย ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตร วปอ. รุ่นที่ 67 วันที่ 16 มกราคม 2568 นำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกในปัจจุบัน ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD)

บทความนี้นับเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจถึงความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในระเบียบโลกใหม่ ซึ่ง "ฐานเศรษฐกิจ" จะนำเสนอเป็นตอนๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสถานการณ์โลกปัจจุบันและแนวทางการปรับตัวที่เหมาะสมต่อไป

ตอนที่ 1 บทเรียนจากอดีต 

ระเบียบโลกใหม่ (new world order) ได้ปรากฏชัดขึ้นหลังเหตุการณ์ของการถดถอยครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลก (great recession) ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2007-2008 ด้วยการล้มลงของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยธนาคาร Lehman Brothers ในวันที่ 15 กันยายน 2008 โดยเป็นผลมาจากระบบการเงินของสหรัฐฯในช่วงนั้นเปิดโอกาสให้มีการเก็งกำไรกันอย่างมโหฬารที่ทำให้เกิด shadow financing ในรูปแบบต่างๆ กัน เช่น CDO (Collateral Debt Obligations) และหนี้สินจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพต่ำ (subprime mortgages) 

เมื่อภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินเริ่มสูงขึ้น ราคาของอสังหาริมทรัพย์จึงเริ่มลดลง ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถชำระเงินต้นต่อไปได้ ผลกระทบจากการสูญเสียความเชื่อมั่นทำให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องเข้ามาอุ้มสถาบันการเงิน Fannie Mae และ Freddie Mac ที่เป็นจักรกลในการพัฒนาตลาดตราสารการกู้ยืมเงินเพื่ออสังหาริมทรัพย์ 

หลังจากที่รัฐบาลกลางต้องเข้ามาช่วยกู้สถาบันการเงินเหล่านี้แล้วยังต้องเข้ามาช่วย AIG (American International Group) ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ รวมทั้งสถาบันการเงินด้าน savings and loan ที่ใหญ่ที่สุดคือ Washington Mutual 

ผลกระทบความเสียหายจากการล้มลงของสถาบันการเงินในสหรัฐฯมีผลกระจายไปทั่วโลก ยุโรปเริ่มมีปัญหาทางด้านหนี้สินในปีถัดมา และทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวตกต่ำอย่างรุนแรง นับเป็นการถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลกครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ รองจากภาวะการซบเซาที่ใหญ่ที่สุด (Great Depression) ในปี 1939 ที่มีส่วนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจการค้าผิดเคืองไปทั่วโลก และมีส่วนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 ในที่สุด 

บทเรียนจากเหตุการณ์ great recession ครั้งนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อความเชื่อมั่นในความน่าเชื่อถือ และความมั่นคงของระบบการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างรุนแรง นับเป็นการเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของระเบียบใหม่ของโลกอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 

ประการที่ 1 การกล่าวหาโดยนักเศรษฐศาสตร์ฟากตะวันตกที่ว่าการเกิดขึ้นของภาวะวิกฤตทางการเงินเช่นที่เกิดขึ้นในเอเชียในปี 1997-98 นั้น เป็นเรื่องของระบบเอเชียที่มีความหละหลวมในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และไม่มีโอกาสมาเกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยเช่นสหรัฐฯได้เลย แต่ในที่สุดการล่มสลายทางการเงินก็กลับมาเกิดขึ้นในสหรัฐฯจนได้ ทำให้ทั่วโลกเห็นแจ้งว่า ความมั่นคงของสหรัฐฯก็ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เสมอไป 

ประการที่ 2 ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจบนพื้นฐานของ Washington Consensus ที่ยึดหลักของธนาคารโลก และนโยบายของสหรัฐฯ ที่พยายามให้ทุกประเทศต้องเปิดเสรีอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการเงิน โดยเชื่อมั่นว่าตลาดเสรียิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าอาจจะก่อให้เกิดการแข่งขันและเก็งกำไรจนออกนอกลู่นอกทาง ทำให้ตลาดเสรีล่มสลายลงได้ในที่สุด 

ประการที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่สหรัฐฯเคยใช้ในการโจมตีประเทศอื่น ที่เห็นว่าไม่ควรให้ทางการเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินที่มีปัญหาวิกฤติ และควรปล่อยให้สถาบันการเงินนั้นล้มละลายไปเอง เมื่อมีปัญหาวิกฤติกับสถาบันการเงินของสหรัฐฯเอง กลับไม่ปฏิบัติตามที่เคยมีหลักการไว้ และกลับเข้าทำการช่วยเหลือโดยใช้เงินภาษีอากรของประชาชนเข้าอุ้มสถาบันที่มีปัญหาอย่างเต็มที่ โดยปล่อยให้นักการเงินผู้บริหารสถาบันที่ล้มละลายลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ทั้งที่ได้รับผลประโยชน์จากสถาบันการเงินเหล่านั้นอย่างมหาศาล 

ประการที่ 4 สหรัฐฯและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ใช้สองมาตรฐานในการแนะนำการแก้ไขปัญหาวิกฤติการเงิน ในกรณีของวิกฤติการเงินในเอเชีย สหรัฐฯและ IMF บังคับให้มีการแก้ปัญหาด้วยการใช้นโยบายการคลังที่ดึงตัว หรือให้มีการลดงบประมาณรายจ่าย ซึ่งมีผลให้เศรษฐกิจที่มีปัญหาทางความเชื่อมั่นอยู่แล้วยิ่งหดตัวแรงยิ่งขึ้น (เรียกว่ามาตรการ procyclical) แทนที่จะให้มีการแก้ไขปัญหาโดยการใช้มาตรการการคลังที่งบประมาณขาดดุลได้ โดยเร่งให้มีรายจ่ายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ซบเซา (เรียกว่ามาตรการ countercyclical) ซึ่งเป็นมาตรการที่ถูกต้องเมื่อสหรัฐฯมีปัญหาเองก็มีการนำนโยบายแบบหลังนี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

ข้อสรุปบทเรียนจากวิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นจากหัวใจของระบบการเงินสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯสูญเสียบทบาทของระบบการเงินที่เคยถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่ติ ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจการเงินของสหรัฐฯจึงสั่นคลอนมากขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯยอมให้มีการใช้ตลาดการเงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างมากเกินจำเป็น (เรียกว่าเป็นกระบวนการ financialisation ของระบบเศรษฐกิจ)