รัฐบาลรับข้อเสนอเอกชน ดันอีสานล่างฮับเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

22 มี.ค. 2568 | 08:05 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 08:33 น.

รัฐบาลดันการพัฒนาอีสานใต้ 8 จังหวัด รับข้อเสนอเอกชน ดันศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง การท่องเที่ยว และเกษตรสมัยใหม่ "อาคม" แนะพัฒนาคุณภาพชีวิต ปลูกพืชมูลค่าสูง

วันนี้ (22 มีนาคม 2568) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย นำคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยเดินทางลงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อประชุมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 8 จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ว่า รัฐบาลพร้อมผลักดันเศรษฐกิจของภาคอีสานตอนล่างให้เติบโตมากขึ้น ผ่านการส่งเสริมทั้งด้านการเกษตร การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว เชื่อมต่อกับจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้าน

 

รัฐบาลรับข้อเสนอเอกชน ดันอีสานล่างฮับเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

 

ทั้งนี้ตามกรอบแผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2566 - 2570 นั้น กำหนดทิศทางไการพัฒนาสู่การเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาใน 3 มิติ มิติแรกคือ Green หมายถึง การเป็น “ฐานการผลิต” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นส่งเสริมเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ ขับเคลื่อนการพัฒนาด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio-Circular-Green economy เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

มิติต่อมาคือ Gate คือการเป็นประตูเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้โอกาสจากการเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน ระเบียงเศรษฐกิจ พัฒนาการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และโลจิสติกส์ และมิติที่สาม คือ Growth ผ่านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สนับสนุนการพัฒนาศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากการท่องเที่ยวชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย

"ขอฝากผู้ว่าฯ ทั้ง 8 จังหวัด สนับสนุนอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพราะแต่ละจังหวัดมีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆทั้งผลิตภัณฑ์เกษตร และอุตสาหกรรม ซึ่งต้องหาทางพัฒนาให้มีมาตรฐานสูงสุด นำต้นทุนทางวัฒธรรมมาต่อยอดเพิ่มรายได้ ส่งเสริมภาคบริการการท่องเที่ยว เชื่อมโยงกลุ่มจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม" นายอนุทิน กล่าว

 

รัฐบาลรับข้อเสนอเอกชน ดันอีสานล่างฮับเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

 

ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทย ยังได้รับฟังข้อเสนอการพัฒนาพื้นที่จากภาคเอกชน 8 จังหวัด ประกอบด้วย นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ โดยครอบคลุมทั้งการพัฒนาโครงการก่อสร้างด้านคมนาคมขนส่ง การเชื่อมโยงและพัฒนาการท่องเที่ยว การจัดเทศกาลสำคัญด้านวัฒนธรรมและกีฬา การพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการเกษตร และพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่

สำหรับโครงการสำคัญที่ภาคเอกชนเสนอ มีตัวอย่างเช่น จังหวัดศรีสะเกษ เสนอโครงการพัฒนาจังหวัด เช่น การพัฒนาโครลการรถไฟทางคู่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา เพื่อยกระดับให้จังหวัดสามารถจัดการแข่งขันกีฬาขนาดใหญ่ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง การผลักดันสมาร์ทซิตี้ การปลดล็อกอุปสรรคด้านการลงทุน และการยกระดับเกษตร ทั้งทุเรียน และโคเนื้อครบวงจร

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กรรมการกฤษฎีกา อดีตรมว.คลัง และรมว.คมนาคม กล่าวว่า การพัฒนา 8 จังหวัดภาคอีสานตอนล่างยังมีศักยภาพอีกมาก โดยนอกเหนือจากข้อเสนอของแต่ละจังหวัดที่มุ่งเน้นด้านเศรษฐกิจ การเกษตร การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว อยากให้มองมิติด้านสังคม โดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ลดช่องว่างระหว่างเมืองและชนบท รวมทั้งการรับมือกับสังคมสูงวัย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานในอนาคต

 

รัฐบาลรับข้อเสนอเอกชน ดันอีสานล่างฮับเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

 

นายอาคม กล่าวว่า การพัฒนาการเกษตรของจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง ยังมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น การปลูกกล้วยหอมทอง และหน่อไม้ฝรั่ง ซึ่งใช้พื้นที่ไม่มาก และมีตลาดญี่ปุ่นรองรับ ถือเป็นทางเลือกในการทำการเกษตรให้กับเกษตรกร และจากนี้ยังอยากให้เตรียมความพร้อมรองรับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป หรือ CBAM ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรด้วย

"ในภาคการเกษตรยังมีโอกาสพัฒนา เช่นเดียวกับด้านปศุสัตว์ ซึ่งจังหวัดภาคอีสานทั้ง 8 จังหวัดมีศักยภาพในการเป็นแหล่งปศุสัตว์ครบวงจรให้กับประเทศ และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน" นายอาคม ระบุ

 

รัฐบาลรับข้อเสนอเอกชน ดันอีสานล่างฮับเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว

 

ขณะที่ข้อเสนอด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้น เห็นว่า ปัจจุบันแต่ละจังหวัดประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องในการจัดเทศกาลท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นตลอดทั้งปี เช่น การจัดงานบุญบั้งไฟ หรือการแห่เทียนพรรษา เมื่อหมดเทศกาลลงแล้ว ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยว จึงจำเป็นต้องหาทางดึงวัฒนธรรมในพื้นที่ที่มีอยู่แล้วขึ้นมาจัดเป็นงาน เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวและเชื่อมโยงกันในกลุ่มจังหวัด