รอยเตอร์รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดที่เข้าสู่สหรัฐอเมริกา และเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจากประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศ รวมถึงคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขยายสงครามการค้าที่สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดโลกและสร้างความสับสนให้กับพันธมิตรของสหรัฐฯ
มาตรการเก็บภาษีครั้งใหญ่นี้จะสร้างอุปสรรคใหม่รอบเศรษฐกิจผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นการกลับทิศทางนโยบายเสรีทางการค้าที่ดำเนินมาหลายทศวรรษซึ่งได้กำหนดรูปแบบระเบียบโลก คาดว่าคู่ค้าจะตอบโต้ด้วยมาตรการที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจนำไปสู่ราคาที่สูงขึ้นอย่างมากสำหรับสินค้าทุกอย่างตั้งแต่จักรยานไปจนถึงไวน์
หลังการประกาศ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของหุ้นสหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยการซื้อขายที่ผันผวนหลายสัปดาห์ในขณะที่นักลงทุนคาดการณ์เกี่ยวกับผลกระทบของภาษีนำเข้าที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อ และกำไรของบริษัท หุ้นสหรัฐฯ ลดมูลค่าลงเกือบ 5 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
สินค้านำเข้าจากจีนจะถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 34 เพิ่มเติมจากร้อยละ 20 ที่ประธานาธิบดีเรียกเก็บก่อนหน้านี้ รวมเป็นภาษีใหม่ทั้งหมดร้อยละ 54 พันธมิตรสหรัฐฯ ที่ใกล้ชิดก็ไม่ได้รับการยกเว้น รวมถึงสหภาพยุโรปซึ่งเผชิญกับภาษีร้อยละ 20 และญี่ปุ่นซึ่งถูกกำหนดให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 24
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่ขอไม่เปิดเผยชื่อกล่าวว่า บทลงโทษที่สูงขึ้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 และจะบังคับใช้กับประมาณ 60 ประเทศทั้งหมด ส่วนภาษีพื้นฐานร้อยละ 10 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน 2568
ทรัมป์กล่าวว่า ภาษี "ต่างตอบแทน" เป็นการตอบสนองต่อภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีอื่นๆ ที่มีต่อสินค้าสหรัฐฯ เขาโต้แย้งว่าภาษีใหม่จะเพิ่มการจ้างงานในภาคการผลิตในประเทศ
"เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ประเทศของเราถูกปล้น ถูกทำลาย ถูกข่มขืน และถูกปล้นโดยประเทศต่างๆ ทั้งใกล้และไกล ทั้งมิตรและศัตรูเหมือนกัน" ทรัมป์กล่าวในงานที่สวนกุหลาบของทำเนียบขาว
นักเศรษฐศาสตร์ภายนอกได้เตือนว่าภาษีอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพิ่มความเสี่ยงของภาวะถดถอย และเพิ่มค่าครองชีพสำหรับครอบครัวในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยเป็นจำนวนหลายพันดอลลาร์
แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งเป็นคู่ค้าสองรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เผชิญกับภาษีร้อยละ 25 สำหรับสินค้าหลายรายการอยู่แล้ว และจะไม่เผชิญกับภาษีเพิ่มเติมจากการประกาศในวันพุธ
ภาษีต่างตอบแทนไม่ได้นำมาใช้กับสินค้าบางชนิด เช่น ทองแดง ยา เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป ทองคำ พลังงาน และ "แร่ธาตุบางชนิดที่ไม่มีในสหรัฐอเมริกา" ตามเอกสารข้อเท็จจริงของทำเนียบขาว
หลังจากคำพูดของเขา ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งเพื่อปิดช่องโหว่ทางการค้าที่ใช้ในการส่งพัสดุมูลค่าต่ำ - พัสดุที่มีมูลค่า 800 ดอลลาร์หรือน้อยกว่า - โดยไม่เสียภาษีจากจีน ที่รู้จักกันในชื่อ "de minimis" คำสั่งนี้ครอบคลุมสินค้าจากจีนและฮ่องกง และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 พฤษภาคม ตามทำเนียบขาว
ผู้ผลิตสารเคมีจีนเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของวัตถุดิบที่ซื้อโดยผู้ค้ายาเสพติดของเม็กซิโกเพื่อผลิตยาเสพติดที่ทำให้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ กล่าว การสืบสวนของรอยเตอร์เมื่อปีที่แล้วแสดงให้เห็นว่าผู้ค้ายาเสพติดมักขนส่งสารเคมีเหล่านี้ผ่านสหรัฐอเมริกาโดยใช้ประโยชน์จากกฎ de minimis จีนปฏิเสธความรับผิดชอบมาโดยตลอด
ทรัมป์ยังวางแผนเก็บภาษีอื่นๆ ที่มุ่งเป้าไปที่เซมิคอนดักเตอร์ ยา และอาจรวมถึงแร่ธาตุสำคัญ เจ้าหน้าที่กล่าว
การเรียกเก็บภาษีจำนวนมากของทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินและธุรกิจที่พึ่งพาข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ฝ่ายบริหารกล่าวว่าภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี
ทรัมป์ก่อนหน้านี้ได้เรียกเก็บภาษีร้อยละ 25 สำหรับเหล็กและอลูมิเนียม และขยายไปถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าเกือบ 150 พันล้านดอลลาร์
กลุ่มที่ 1
ประเทศ |
อัตราภาษีสหรัฐฯ |
จีน |
34% |
สหภาพยุโรป |
20% |
เวียดนาม |
46% |
ไต้หวัน |
32% |
ญี่ปุ่น |
24% |
อินเดีย |
26% |
เกาหลีใต้ |
25% |
ไทย |
36% |
สวิตเซอร์แลนด์ |
31% |
อินโดนีเซีย |
32% |
มาเลเซีย |
24% |
กัมพูชา |
49% |
สหราชอาณาจักร |
10% |
แอฟริกาใต้ |
30% |
บราซิล |
10% |
บังกลาเทศ |
37% |
สิงคโปร์ |
10% |
อิสราเอล |
17% |
ฟิลิปปินส์ |
17% |
ชิลี |
10% |
ออสเตรเลีย |
10% |
ปากีสถาน |
29% |
ตุรกี |
10% |
ศรีลังกา |
44% |
โคลัมเบีย |
10% |
กลุ่มที่ 2
ประเทศ |
อัตราภาษีสหรัฐฯ |
เปรู |
10% |
นิการากัว |
18% |
นอร์เวย์ |
15% |
คอสตาริกา |
10% |
จอร์แดน |
20% |
สาธารณรัฐโดมินิกัน |
10% |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ |
10% |
นิวซีแลนด์ |
10% |
อาร์เจนตินา |
10% |
เอกวาดอร์ |
10% |
กัวเตมาลา |
10% |
ฮอนดูรัส |
10% |
มาดากัสการ์ |
47% |
เมียนมาร์ (พม่า) |
44% |
ตูนิเซีย |
28% |
คาซัคสถาน |
27% |
เซอร์เบีย |
37% |
อียิปต์ |
10% |
ซาอุดีอาระเบีย |
10% |
เอลซัลวาดอร์ |
10% |
โกตดิวัวร์ |
21% |
ลาว |
48% |
บอตสวานา |
37% |
ตรินิแดดและโตเบโก |
10% |
โมร็อกโก |
10% |
กลุ่มที่ 3
ประเทศ |
อัตราภาษีสหรัฐฯ |
แอลจีเรีย |
30% |
โอมาน |
10% |
อุรุกวัย |
10% |
บาฮามาส |
10% |
เลโซโท |
50% |
ยูเครน |
10% |
บาห์เรน |
10% |
กาตาร์ |
10% |
มอริเชียส |
40% |
ฟิจิ |
32% |
ไอซ์แลนด์ |
10% |
เคนยา |
10% |
ลิกเตนสไตน์ |
37% |
กายอานา |
38% |
เฮติ |
10% |
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา |
35% |
ไนจีเรีย |
14% |
นามิเบีย |
21% |
บรูไน |
24% |
โบลิเวีย |
10% |
ปานามา |
10% |
เวเนซุเอลา |
15% |
มาซิโดเนียเหนือ |
33% |
เอธิโอเปีย |
10% |
กานา |
10% |
ประเทศผู้ค้าทั่วโลกประกาศคัดค้านนโยบายภาษี “ตอบโต้” ของ “ทรัมป์” หลังสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครอบคลุมกว่า 180 ประเทศ จีน-อียู เผยพร้อมใช้มาตรการตอบโต้เด็ดขาด ชี้โจมตีเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ด้านญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-เกาหลีใต้-นิวซีแลนด์ ต่างแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก ชี้กระทบเศรษฐกิจโลกและผู้บริโภคสหรัฐฯ เอง
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” พร้อมออกนโยบายภาษี “ตอบโต้” ครอบคลุมสินค้านำเข้าจากทั่วโลก โดยกำหนดภาษีพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด และเพิ่มอัตราภาษีสูงขึ้นเป็นพิเศษสำหรับหลายประเทศ ครอบคลุมกว่า 180 ประเทศและภูมิภาค นำโดย กัมพูชา 49% เวียดนาม 46% ไทย 36% จีน 34% (รวมกับภาษีเดิม 20% เป็น 54%) ญี่ปุ่น 24% และสหภาพยุโรป 20%
จีนคัดประกาศโต้กลับ ชี้ “สงครามการค้าไร้ผู้ชนะ”
โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์คัดค้านอย่างเด็ดขาดต่อมาตรการดังกล่าว พร้อมประกาศเตรียมใช้มาตรการตอบโต้อย่างแน่วแน่เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของตน
“ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มภาษีไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯ เองได้ การกระทำดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และเป็นอันตรายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก รวมถึงเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรม” โฆษกระบุ พร้อมย้ำว่า “ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า และลัทธิคุ้มครองทางการค้าไม่นำไปสู่ทางออกใดๆ”
ฝ่ายจีนยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการภาษีฝ่ายเดียวโดยทันที และแก้ไขข้อขัดแย้งกับประเทศคู่ค้าผ่านการเจรจาอย่างเท่าเทียม โดยระบุว่าสหรัฐฯ กำหนด “ภาษีตอบโต้” ด้วยการประเมินที่เป็นอัตวิสัยและฝ่ายเดียว ซึ่งขัดต่อกฎการค้าระหว่างประเทศ
อียู พร้อมตอบโต้หากการเจรจาล้มเหลว
ขณะที่สหภาพยุโรปซึ่งได้รับอัตราภาษี 20% ไม่พอใจมาก โดยอูร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า ภาษีดังกล่าวเป็น “การโจมตีครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลก” และระบุว่าสหภาพยุโรปพร้อมที่จะตอบโต้หากการเจรจากับวอชิงตันล้มเหลว “ผลที่ตามมาจะรุนแรงสำหรับผู้คนนับล้านทั่วโลก” เธอกล่าว
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า EU จะใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงไม่แพ้กัน เช่น การเก็บภาษีสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ และสินค้าอุตสาหกรรม การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO)และการเร่งหาพันธมิตรทางการค้ารายใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียและละตินอเมริกา
เช่นเดียวกับแคนาดาเคยใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (retaliatory tariffs) กับสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมในปี 2018 และมีแนวโน้มว่าจะใช้กลยุทธ์เดียวกันอีกครั้ง เช่น การเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่เป็นจุดอ่อน เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเทคโนโลยี การกระชับความร่วมมือกับ EU และเอเชีย เพื่อกระจายตลาดส่งออก
ออสเตรเลียประณาม “นี่ไม่ใช่การกระทำของมิตร”
นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีส แห่งออสเตรเลีย ประณามการเก็บภาษี 10% กับสินค้าส่งออกของประเทศว่า “ไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง”
“ภาษีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไม่คาดคิด แต่ขอให้ผมพูดให้ชัดเจน พวกมันไม่มีเหตุผลอย่างสิ้นเชิง ประธานาธิบดีทรัมป์อ้างถึงภาษีตอบโต้ ภาษีตอบโต้ที่เท่าเทียมควรเป็นศูนย์ ไม่ใช่ 10%” อัลบานีสกล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีการค้า
“นี่ไม่ใช่การกระทำของมิตร การตัดสินใจในวันนี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก และจะผลักดันให้ต้นทุนสำหรับครัวเรือนอเมริกันสูงขึ้น” เขากล่าว
อัลบานีสปฏิเสธที่จะตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีกับสหรัฐฯ โดยระบุว่า “เราจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันไปสู่ก้นเหว ซึ่งนำไปสู่ราคาที่สูงขึ้นและการเติบโตที่ช้าลง”
ญี่ปุ่น “เสียใจอย่างยิ่ง” แต่ยังไม่ตอบโต้ทันที
โยชิมาซะ ฮายาชิ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราได้แจ้งรัฐบาลสหรัฐฯ อีกครั้งว่าการกระทำนี้น่าเสียใจอย่างยิ่ง และได้ร้องขออย่างหนักแน่นให้พิจารณาทบทวนมาตรการดังกล่าว” ฮายาชิกล่าวว่าญี่ปุ่นกำลังตรวจสอบว่าการตัดสินใจเก็บภาษี 24% กับสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นนั้นละเมิดกฎขององค์การการค้าโลกและข้อตกลงการค้าญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ที่ลงนามกับรัฐบาลทรัมป์ชุดแรกในปี 2019 หรือไม่
โยจิ มูโตะ รัฐมนตรีการค้าญี่ปุ่น แสดงความกังวลว่ามาตรการนี้ “จะลดขีดความสามารถของบริษัทญี่ปุ่นในการลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นกัน”
เกาหลีใต้ประกาศภาวะวิกฤติการค้า
ฮัน ดัก-ซู รักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ สั่งการให้รัฐบาล “ใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อเอาชนะวิกฤตการค้า” ในการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันพฤหัสบดี โดยอธิบายสถานการณ์ว่า “ร้ายแรงอย่างยิ่ง” หลังทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ มายาวนาน
ฮันสั่งการให้รัฐมนตรีการค้า “วิเคราะห์รายละเอียดและผลกระทบของภาษีที่ประกาศในวันนี้อย่างละเอียด และเข้าร่วมการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างแข็งขันเพื่อลดความเสียหายให้น้อยที่สุด” พร้อมสั่งให้รัฐบาลเตรียมมาตรการสนับสนุนฉุกเฉินสำหรับอุตสาหกรรมและบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากประกาศภาษี
ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ ประกาศจับมือกับจีนในการขยายความร่วมมือทางการค้าที่มากขึ้น พร้อมเตรียมดึงกลุ่มประเทศในอาเซียนที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง RECP เข้ามาร่วมด้วย
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าญี่ปุ่นอาจใช้มาตรการกดดันทางการค้า เช่น การตั้งกำแพงภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ ขณะที่เกาหลีใต้อาจเลือกขยายความร่วมมือกับจีน และเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังยุโรป
ส่วนอินเดีย ซึ่งเคยเป็นเป้าหมายภาษีของทรัมป์มาก่อน อาจตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกันที่มีมูลค่าสูง เช่น อุปกรณ์เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
นิวซีแลนด์ชี้กระทบเศรษฐกิจโลก
ด้านคริสโตเฟอร์ ลูซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กล่าวว่าภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศ “ไม่ดีต่อเศรษฐกิจโลก” ประเทศนิวซีแลนด์อยู่ในกลุ่มประเทศที่จะเผชิญกับภาษีพื้นฐาน 10%
“ขอให้ชัดเจนว่า ภาษีและสงครามการค้า ไม่ดีต่อเศรษฐกิจโลก มีการเก็บภาษีกับสินค้าส่งออกของนิวซีแลนด์ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ (516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และภาระนั้นจะถูกผลักไปให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ อย่างน่าเศร้า นั่นคือเหตุผลที่ภาษีไม่ใช่ทางออก เพราะมันจะส่งผลให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสหรัฐฯ สูงขึ้น เงินเฟ้อสูงขึ้น การเติบโตช้าลง และเป็นผลให้เกิดแรงกดดันอย่างแท้จริงทั่วโลก” ลูซอนกล่าว