รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” เกี่ยวกับประเด็นการปรับขึ้นภาษีประเทศไทย 36% ของสหรัฐอเมริกา ว่า เป็นอัตราที่สูงกว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เนื่องจากทุกประเทศก็ถูกปรับขึ้นภาษีมากกว่าที่คาดการณ์ เรียกว่าเป็นการขึ้นภาษีสูงสุดในรอบ 100 ปี ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ
สำหรับการถูกเรียกเก็บ 36% มาจากการที่สหรัฐฯกล่าวหาว่าไทยเก็บภาษีจากสหรัฐฯ 72% จึงมีมาตรการภาษีตอบโต้ออกมา หรือจะกล่าวก็คือ โดนเรียกเก็บเท่าไหร่ ก็จะเก็บคืนเท่านั้น อย่างไรก็ด็ สหรัฐฯเองก็ระบุว่ายังเป็นการเรียกเก็บน้อยกว่าความเป็นจริง หรือเพียงครึ่งเดียว
อย่างไรก็ดี มองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เนื่องจากที่สหรัฐฯเรียกเก็บจากไทย และประเทศอื่นไม่ใช่เพียงแค่ภาษีอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงมาตากรที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานสินค้า กฏระเบียบ เป็นต้น ขณะที่ตัวเลขการจัดเก็บดังกล่าวก็เป็นตัวเลขที่สร้างขึ้นมาเอง
“สหรัฐฯมองว่าไทยเก็บภาษี 72% เป็นกำแพงภาษี และที่สิ่งที่ไม่ใช่ภาษีรวมกัน ซึ่งอาจจะหมายถึงสิทธิทางปัญญา จึงนำไปสู่การเก็บภาษี 36% จากไทย เป็นการเล่นงาน“
อย่างไรก็ตาม การเรียกเก็บภาษีดังกล่าวส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยจีนถือว่าโดนหนักที่สุดรวมแล้ว 50% เช่นเดียวกับเวียดนาม ซึ่งสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินการเป็นสงครามการค้าอย่างแท้จริง
รศ.ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า การที่ทรัมป์ตั้งภาษีอัตราสูงดังกล่าว ก็เพื่อไว้สำหรับให้ประเทศอื่นต่อรอง เพื่อให้สหรัฐฯได้แก้ปัญหาเรื่องดุลการค้า ดุลบริการ หรือดุลบัญชีเดินสะพัด โดยนำส่วนที่ขาดดุลมาเป็นตัวตั้ง นอกจากนี้ ยังอาจจะมีการเจรจาในมิติอื่น เช่น ความมั่นคงในกรณีของจีน เพื่อช่วยยูเครน ช่วย TikTok ส่วนแม็กซิโก แคนานดาก็จะช่วยเรื่องการเข้าเมือง ด้านสหภาพยุโรปจะเป็นเรื่องมาตรฐานสินค้า และเรื่องภาษีที่เก็บสูง เป็นต้น
“การขึ้นภาษีดังกล่าวเพื่อเป็นการบีบ หรือเรียกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาดุลการค้า และทำให้เกิดการลงทุนใสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงาน อีกทั้งยังมุ่งทำให้เกิดการขยายตัวของสินค้าและบริการในต่างประเทศ และเคารพในเรื่องสิทธิทางปัญญา เพื่อให้เกิดความมั่นคง เรียกว่า เป็นการสร้างเครื่องมือในการต่อรอง รวมถึงสร้างความได้เปรียบอีกหนึ่งขั้น นอกจากนี้ ยังเป็นการหาเสียง สังเกตุได้จากการประกาศนโยบายโดยมีกลุ่มสหพันธ์ร่วมติดตามเป็นตำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าทรัมป์ต้องการอยู่อีกสมัย มีการแก้รัฐธรรมนูญ“
ส่วนผลกระทบกับไทย ประกอบด้วย
“เวลานี้หากประเมินให้ชัดเจนอาจจะยังเร็วเกินไป เพราะนี่เป็นขั้นตอนที่สหรัฐฯบีบประเทศอื่นไว้ก่อน เพื่อนำไปสู่การเจรจา โดยภาพที่ชัดเจนจะเห็นชัดในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือครึ่งปีหลัง
ด้านแผนในการรับมือ ประกอบด้วย
”แรงกระตุ้นดังกล่าวอาจจะต้องเตรียมมาตรการเรื่องงบประมาณไว้รองรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไทยมีข้อจำกัด มีหนี้สาธารณะสูงถึง 65% และมีการขาดดุลงบประมาณสูงถึง 4.5% แต่ก็มีความจำป็นที่ต้องเตรียมไว้ เพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็นแบบที่จีนมีการใช้อยู่“