นายวรพงษ์ สุธานนท์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท เบิร์กลีย์ รีเสิร์ช กรุ๊ป หรือ บีอาร์จี (BRG) เปิดเผยว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมที่เติบโตเร็ว ด้วยการลงทุนจากบริษัทของสหรัฐและจีนแม้จะมีความเสี่ยงเรื่องคอร์รัปชันและสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐก็ตามที
ดังนั้นการวางแผนการลงทุนจึงต้องพิจารณาทั้งในแง่ของโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จได้
“คาดว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีความสำคัญยิ่งขึ้น ทั้งในเชิงกลยุทธ์และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี"
สำหรับการลงทุนจากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการฝึกอบรมบุคลากร ประกอบด้วย
การลงทุนจากจีน ประกอบด้วย
อย่างไรก็ดี นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ แนวโน้มภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น และสงครามการค้ากับจีน อาจผลักดันให้บริษัทสหรัฐฯ มองหาแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยอาเซียนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของจีน การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจนำไปสู่สงครามเศรษฐกิจในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม หลังโควิด-19 เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัว แต่ไม่เท่ากันในทุกอุตสาหกรรม ภาคเทคโนโลยีปรับตัวได้ดีจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาคพลังงานได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และภาคการผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นและห่วงโซ่อุปทานที่ไม่แน่นอน
นอกจากนี้ การปกปิดผลขาดทุนทางการเงินในช่วงโควิด-19 ทำให้ปัญหาทุจริตและคอร์รัปชันเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น เช่น ในสิงคโปร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทค้าน้ำมันถูกตัดสินจำคุกเกือบ 20 ปีจากคดีทุจริต
ส่วนไทยมีคดี Stark Corporation ที่กลายเป็นหนึ่งในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และในเวียดนาม Truong My Lan ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากการยักยอกและฉ้อโกงเงินรวมกว่า 39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก Saigon Commercial Bank
ปัญหาทุจริตและคอร์รัปชันในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออำนาจทางการเมืองยังคงอยู่ในมือของตระกูลที่มีอิทธิพล เช่น ตระกูลมาร์กอสในฟิลิปปินส์ ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของรัฐ ส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องระบบอุปถัมภ์และการบั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย
แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ แต่ความเสี่ยงจากปัญหาทุจริตและการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ นักลงทุนจึงควรพิจารณาทั้งโอกาสและความเสี่ยงอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในภูมิภาคนี้
“แม้ว่าแนวโน้มการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี 2025 จะสดใส แต่การเลือกพันธมิตรทางธุรกิจอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อปกป้องการลงทุนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น”
ปัญหาคอร์รัปชันและการขาดความโปร่งใสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังยุคโควิด-19 ที่บางบริษัทอาจตบแต่งงบการเงินหรือบิดเบือนข้อมูลด้าน ESG เพื่อดึงดูดการลงทุน หากไม่มีการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจอย่างละเอียด พฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสเหล่านี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางการเงินได้
เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืน นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (Integrity Due Diligence) และเลือกพันธมิตรทางธุรกิจที่มีค่านิยมและจริยธรรมที่สอดคล้องกัน อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงนี้เป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ เลือกคู่ค้าอย่างรอบคอบ เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน!
มาตรการปราบปรามการใช้นอมินีในธุรกิจสีเทาของรัฐบาลไทย กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจต่างชาติที่เคยใช้นอมินีไทยในการถือหุ้นเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย แม้ในอดีตวิธีนี้จะเป็นที่นิยม แต่เมื่อกฎระเบียบเข้มงวดขึ้น การดำเนินธุรกิจในไทยจึงเผชิญความท้าทายมากขึ้น ทำให้แนวทาง ควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นโครงสร้างที่โปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม การปิดดีล M&A ไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป การตรวจสอบสถานะด้านความโปร่งใส (Integrity Due Diligence) เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ การประเมินความเสี่ยงทางธุรกิจหลังการควบรวม (Post-Deal Business Risk Review) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ความท้าทายและปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดจากข้อตกลง