ค่าไฟขึ้น2565 งวด ก.ย.-ธ.ค. ต้องจ่ายกี่บาท เพราะอะไร เช็คเลยที่นี่

16 ส.ค. 2565 | 08:25 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ส.ค. 2565 | 15:25 น.

ค่าไฟขึ้น2565 งวด ก.ย.-ธ.ค. ต้องจ่ายกี่บาท เพราะอะไร เช็คเลยที่นี่มีคำตอบ หลังสำนักงาน กกพ. ประกาศค่าเอฟทีผ่านเฟสบุ๊ก

ค่าไฟขึ้น2565 งวด ก.ย.-ธ.ค. ต้องจ่ายกี่บาท เป็นคำถามที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะถึงรอบบิลใหม่ที่จะต้องจ่ายค่าไฟในไม่ช้า

 

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" จะพาไปไขคำตอบ เพื่อคลายข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าว

 

ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยผ่านทางเฟสบุ๊ก (สำนักงาน กกพ.) โดยระบุชัดเจนว่า ค่าไฟงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ประชาชนจะต้องจ่ายที่ 4.72 บาทต่อหน่วย  

 

สำหรับหลักการคิดค่าไฟดังกล่าวมาจาก ในรอบเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 กกพ.จะมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที (FT) เพิ่มอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย 

อย่างไรก็ดี การคิดค่าเอฟทีช่วงเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 236.97 สตางค์ต่อหน่วย ไม่รวมที่ กฟผ. รับภาระต้นทุนแทนผู้ใช้ไฟฟ้า ประมาณ 83,010 ล้านบาท 
 

การบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กกพ. ปรับเพิ่มค่าเอฟทีเพียง 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย
 

ส่วนการขึ้นค่าเอฟทีในช่วงปี 2565-2566 นี้มีสาเหตุหลักๆ มาจากสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวในตลาดจร (Spot LNG)  ที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและพม่าที่ปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญรวมทั้งความผันผวนของ Spot LNG ในตลาดโลกสรุปได้ ดังนี้

 

ค่าไฟขึ้น2565 งวด ก.ย.-ธ.ค. ต้องจ่ายกี่บาท

 

ปริมาณก๊าซในประเทศที่ลดลงจากเดิมสามารถจ่ายก๊าซได้ 2,800 – 3,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD) ลดลงเหลือราว 2,100 – 2,500 MMSCFD ทำให้ต้องนำเข้า Spot LNG เข้ามาเสริมหรือเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเพื่อทดแทนปริมาณก๊าซที่ขาด หากแต่ในช่วงสงครามรัสเซีย - ยูเครน

 

ส่งผลให้ราคา Spot LNG ที่มีราคาแพงและผันผวนในช่วงประมาณ 25-50 USD/MMBTU เทียบกับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่มีราคาประมาณ 6-7 USD/MMBTU ดังนั้นการทดแทนก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยด้วย LNG หรือใช้น้ำมันจะส่งผลให้ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การผลิตก๊าซจากพม่ามีแนวโน้มที่จะไม่สามารถผลิตได้ตามกำลังการผลิตเดิมและมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2565 และต้นปี 2566 ซึ่งอาจทำให้มีความต้องการนำเข้า LNG มากกว่าที่ประมาณการไว้เดิม

 

สถานการณ์ผู้ผลิต LNG ชะลอการลงทุนอันเนื่องมาจากมีความต้องการใช้พลังงานน้อยในช่วงโควิด-19 ในปลายปี 2564 หลังจากที่หลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากโควิดทำให้ความต้องการใช้ LNG มีมากกว่ากำลังการผลิตในตลาดโลก ส่งผลกระทบต่อราคาและการเจรจาสัญญาซื้อขาย LNG เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2564 และต่อเนื่องตลอดปี 2565 และปี 2566
 

 

สภาวะสงครามรัสเซีย - ยูเครน ทำให้รัสเซียลดหรือตัดการจ่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อไปยังยุโรป ทำให้ความต้องการ LNG เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุโรปและส่งผลกระทบทางอ้อมต่อราคา LNG ในตลาดเอเชีย

 

ความไม่แน่นอนของแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศและในพม่ามารวมทั้งสภาวะตลาดที่ไม่เอื้อต่อการเจรจาสัญญา LNG ทำให้ กกพ. ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อใช้เชื้อเพลิงสำรอง เช่น น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล หรือเชื้อเพลิงประเภทอื่น เช่น ถ่านหิน พลังน้ำ และพลังงานทดแทน เพื่อรองรับสถานการณ์ขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ

 

ซึ่งจะเป็นสถานการณ์ต่อเนื่องจากปลายปี 2565 ต่อเนื่องถึงตลอดปี 2566 ตามแนวทางการบริหารเชื้อเพลิงในสภาวะวิกฤตที่ได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ไปแล้ว จึงขอให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดเพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ลดการนำเข้า Spot LNG และเพิ่มความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว