ท่ามกลางความผันผวนของตลาดพลังงานโลกและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการค้าปลีกน้ำมันไทยอย่าง OR บางจาก และพีทีจี กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดค้าปลีกน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil แม้ทั้ง 3 บริษัทจะมีรากฐานและโครงสร้างธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็มีเป้าหมายในการครองส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ จากการประเมินตลาดน้ำมันค้าปลีกผ่านสถานีบริการน้ำมัน ที่มีการจำหน่ายน้ำมันกลุ่มเบนซินอยู่ที่ 11,271 ล้านลิตรต่อปี และดีเซล 24,878 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท “ฐานเศรษฐกิจ” จึงนำเสนอบทวิเคราะห์ผลประกอบการ และทิศทางการแข่งขันของทั้ง 3 บริษัทในปี 2567 และแนวโน้มในปี 2568
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil ของกลุ่ม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีผลประกอบการในปี 2567 ที่ท้าทาย โดยมีรายได้ขายและบริการ 723,958 ล้านบาท ลดลง 45,783 ล้านบาท (-5.9%) จากปี 2566 จากปริมาณจำหน่ายน้ำมันที่ลดลง
โดยค้าปลีกน้ำมันลดลง 10.5% มีปริมาณการขายที่ 11,133 ล้านลิตร และธุรกิจตลาดพาณิชย์ที่ 15,282 ล้านลิตร และราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยปรับลดลง มี EBITDA จำนวน 17,666 ล้านบาท ลดลง 3,540 ล้านบาท (-16.7%) และมีกำไรสุทธิ 7,650 ล้านบาท ลดลง 3,444 ล้านบาท (-31.0%) จากปีก่อนหน้า รายได้จากกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ลดลง 7.4% สวนทางกับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle (ธุรกิจ Non-Oil) ที่เพิ่มขึ้น 8.2% และกลุ่มธุรกิจ Global ที่ปรับเพิ่มขึ้น 10.9%
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจที่กระชับกว่าโดยปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 589,877 ล้านบาท เติบโต 53% มี EBITDA 40,409 ล้านบาท และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 6,120 ล้านบาท
ความสำเร็จหลักมาจากกลุ่มธุรกิจการตลาด ที่มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงถึง 13,814 ล้านลิตร เป็นในส่วนของค้าปลีกน้ำมัน 8,363 ล้านลิตร และอุตสาหกรรม 5,451 ล้านลิตร เติบโต 61% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ของบริษัท จากการควบรวมกิจการและรับรู้รายได้เต็มปีของบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) ทำให้บางจากสามารถสร้าง Synergy สูงถึง 6,071 ล้านบาท เหนือกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท
ผลประกอบการของบางจากในปี 2567 แม้จะมีกำไรสุทธิที่เป็นของบริษัทใหญ่เพียง 2,184 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน แต่การดำเนินงานส่วนใหญ่มีสัญญาณเติบโตที่ดี โดยมีรายการพิเศษที่ส่งผลต่อผลประกอบการ อาทิ การบันทึก Inventory Loss จำนวน 7,897 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีทิศทางปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้นถึง 92% เป็น 16,818 ล้านบาท
ส่วนบริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) แม้จะมีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า 2 บริษัทแรก แต่กลับมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น โดยปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากปีก่อน และมีรายได้รวม 225,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% จากปีก่อน
ปัจจัยหลักของการเติบโตมาจากธุรกิจน้ำมัน ที่ขยายตัว 12.3% ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทางที่เติบโตถึง 12.5% คิดเป็นปริมาณรวม 6,708 ล้านลิตร โดยมาจากยอดขายผ่านสถานีบริการ PT ที่ 6,548 ล้านลิตร สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เติบโตถึง 12.9% สูงกว่าอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมมากกว่า 10 เท่า เนื่องจากภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศผ่านสถานีบริการมีการเติบโตเพียง 0.4%
การแข่งขันที่เข้มข้นระหว่าง 3 บริษัทนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดพลังงานไทยอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อพิจารณาผลประกอบการปี 2567 พบว่า บางจากมีอัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสูงที่สุดที่ 61% ตามด้วยพีทีจีมีการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่ 12.5% สวนทางกับ OR ที่มียอดการจำหน่ายค้าปลีกน้ำมันลดลง 10.5%
ผลประกอบการ ปตท.-บางจาก-PTG
OR มีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ณ สิ้นปี 2567 จำนวน 2,343 แห่งในประเทศไทย สถานีบริการ LPG 223 แห่ง และสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า “EV Station PluZ” ติดตั้งสะสมทั้งสิ้น 1,194 แห่ง เป็น DC Fast Charge จำนวน 2,356 หัวชาร์จ แบ่งเป็นในสถานีบริการ 940 แห่ง (เปิดใช้งานแล้ว 776 แห่ง) และนอกสถานีบริการ 254 แห่ง (เปิดใช้งานแล้ว 213 แห่ง) ในส่วนของศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto มีจำนวนทั้งสิ้น 108 สาขา
ด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมอยู่ที่ 26,415 ล้านลิตร แบ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน 11,133 ล้านลิตร และธุรกิจตลาดพาณิชย์ 15,282 ล้านลิตร โดยธุรกิจค้าปลีกน้ำมันปรับลดลง 10.5% ทั้งในดีเซลและเบนซิน ส่วนธุรกิจตลาดพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากน้ำมันอากาศยาน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันดอยู่ที่ 39.2 %
ขณะที่บางจากสิ้นปี 2567 กลุ่มบริษัทบางจากมีสถานีบริการรวม 2,163 สถานี มีส่วนแบ่งทางการตลาดผ่านสถานีบริการรวมปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28.9% จากความพยายามในการปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์บางจากและปรับเปลี่ยนโลโก้ของสถานีภายใต้การดำเนินงานของ BSRC (เอสโซ่เดิม )โดย ณ สิ้นปี 2567 ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนแล้วเสร็จครบ 100% บางจากวางเป้าขยายสถานีบริการเพิ่มในปี 2568 พร้อมกับมุ่งขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 2 ในตลาดค้าปลีกน้ำมันของไทย
ส่วนพีทีจีสิ้นปี 2567 มีสถานีบริการน้ำมัน PT 2,229 สถานี เพิ่มขึ้น 1.3% จากปีก่อนหน้า และตั้งเป้าขยายเป็น 2,279 สถานีภายในสิ้นปี 2568 แม้จะมีจำนวนสถานีบริการน้อยกว่า OR แต่พีทีจีสามารถขยายส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกเพิ่มขึ้นเป็น 21.9% ในปี 2567 เทียบกับ 19.5% ในปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารพื้นที่สถานีบริการที่สูงกว่าคู่แข่ง
จำนวนสถานีบริการ ปตท.-บางจาก-PTG
OR มีเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มรวม 4,586 สาขา แบ่งเป็นร้าน Cafe Amazon ในประเทศไทย 4,430 สาขา (ในสถานีบริการ 2,330 สาขา และนอกสถานีบริการ 2,100 สาขา) Cafe Amazon ในต่างประเทศ 32 สาขา และร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ อีก 124 สาขา ได้แก่ เพิร์ลลี่ทีและ Pacamara Coffee Roasters
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ 7-Eleven และจิฟฟี่ รวม 2,308 สาขา และร้านค้าปลีกด้านสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ found & found 5 สาขา ในไตรมาส 4 ปี 2567 ร้าน Cafe Amazon มีปริมาณจำหน่ายรวม 103 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 5 ล้านแก้ว (+5.1%) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มมี EBITDA เพิ่มขึ้น 423 ล้านบาท (+10.9%) ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายพิเศษเนื่องจากการยุติธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้นในไตรมาส 3 ปี 2567
ด้านบางจากพัฒนาธุรกิจ Non-Oil ผ่านร้านกาแฟอินทนิล 1,028 สาขาทั่วประเทศ และจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กว่า 365 สถานี รวมถึงจุดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น FURiO กว่า 2,050 สถานี บางจากมุ่งพัฒนาธุรกิจ Retail Experience ภายใต้วิสัยทัศน์ “จุดหมายปลายทางของคนทุกช่วงวัย Greenovative Destination for Intergeneration” เน้นการนำเสนอสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการทุกช่วงวัย
ส่วนพีทีจี มีการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil อย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 31.2% เป็น 17,958 ล้านบาทในปี 2567 ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยเป็นดาวเด่น มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นที่ 82.6% เป็น 2,266 ล้านบาท จากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 465 สาขา จาก 882 สาขา เป็น 1,347 สาขา หรือคิดเป็นการขยายเฉลี่ย 1.3 สาขาต่อวัน และตั้งเป้าขยายเป็น 1,947 สาขาในปี 2568
นอกจากนี้ พีทีจียังได้ขยายพอร์ตธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มผ่านการลงทุนใน Subway โดยเข้าซื้อกิจการและได้สิทธิเป็นเจ้าของ Master Franchise ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 และตั้งเป้าขยายสาขา 50 สาขาต่อปี โดยปัจจุบัน Subway ในประเทศไทยมีทั้งหมด 148 สาขา และตั้งเป้าขยายเพิ่มอีกมากกว่า 500 สาขาภายใน 10 ปี
เมื่อเปรียบเทียบ Touchpoints ธุรกิจ Non-Oil พบว่า ปตท. ยังครองความเป็นผู้นำด้วยร้านคาเฟ่อเมซอนที่มีมากกว่า 4,400 สาขา ตามด้วยพีทีจีที่มีร้านกาแฟพันธุ์ไทย 1,347 สาขาและมีแผนขยายอย่างรวดเร็ว ส่วนบางจากมีร้านกาแฟอินทนิล 1,005 สาขา ซึ่งน้อยที่สุดใน 3 บริษัท
ธุรกิจ Non-Oil ปตท.-บางจาก-PTG
OR ใช้ประโยชน์จากฐานลูกค้าขนาดใหญ่ผ่านแอปพลิเคชัน PTT Blue Card ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคน และมีระบบลูกค้าสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน ปตท. ยังพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลและบริการเสริมต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายให้กับลูกค้า
ส่วนบางจาก พัฒนาแอปพลิเคชัน Bangchak Mobile Application เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าและนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ บางจากมีจุดแข็งในการสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ด้านพีทีจีมีฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ที่แข็งแกร่งถึง 25 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของยอดขาย พีทีจียังได้เปิดตัว “แมกซ์การ์ด พลัส อีวี” บัตรสมาชิกรายปีสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการให้สอดรับกับแนวโน้มการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง พีทีจีได้ให้การสนับสนุนรายการแข่งขัน MotoGP ระดับโลก ภายใต้ชื่อ “PT Grand Prix of Thailand 2024” เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ พีที ไปยังตลาดระดับสากลมากขึ้น
เป้าหมายรายได้ Non-Oil ปตท.-บางจาก-PTG
จากผลการดำเนินงานและกลยุทธ์ของทั้ง 3 บริษัทในปี 2567 และแนวโน้มในปี 2568 แสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจของการแข่งขันในอุตสาหกรรมพลังงานไทย โดย OR ยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยขนาดและทรัพยากรที่เหนือกว่า ส่วนบางจากมีความได้เปรียบในการบูรณาการธุรกิจตั้งแต่โรงกลั่นจนถึงการค้าปลีก และมีความคล่องตัวในการตัดสินใจและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ การตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำอันดับ 2 ในตลาดค้าปลีกน้ำมันสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่ง
ขณะที่พีทีจีโดดเด่นด้วยอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในธุรกิน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยที่เติบโตถึง 82.6% ในปี 2567 การขยายส่วนแบ่งตลาดจาก 19.5% เป็น 21.9% ในเวลาเพียงหนึ่งปีเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพีทีจีกำลังเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ทั้ง ปตท. และบางจาก ในระยะสั้นถึงระยะกลาง ซึ่ง OR น่าจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยขนาดและทรัพยากรที่เหนือกว่า แต่การแข่งขันจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นจากทั้งบางจากและพีทีจีที่กำลังขยายเครือข่ายและธุรกิจอย่างรวดเร็ว