thansettakij
“GPSC” รุกศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ตอบโจทย์ลดคาร์บอน

“GPSC” รุกศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ตอบโจทย์ลดคาร์บอน

24 มี.ค. 2568 | 08:01 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มี.ค. 2568 | 08:01 น.

“GPSC” เดินหน้าศึกษาพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก มุ่งตอบโจทย์ภาคการผลิตลดคาร์บอน ปูทางสู่เป้าหมาย Net Zero

นายศิริเมธ ลี้ภากรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เปิดเผยว่า ขณะนี้ GPSC ให้ความสนใจในเทคโนโลยี Small Modular Reactor หรือ SMR ในเจเนอเรชันที่ 4 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าผลิตพลังงานแบบโมดูล่าร์ขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นโมดูลที่ผลิตและประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานผู้ผลิต สามารถขนย้ายได้ 

โดยร่วมกับบริษัท Seaborg Technologies จากประเทศเดนมาร์ก เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในการพัฒนาโครงการฯ ซึ่งกำหนดแผนระยะเวลาในการศึกษา 4 ปี (ระหว่างปี 2567-2570)

สำหรับกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้กับผู้เชี่ยวชาญจาก Seaborg จะสามารถทำให้ GPSC เข้าถึงมาตรฐานความปลอดภัยของเทคโนโลยี SMR ตามข้อกำหนดของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) อย่างไรก็ตาม การศึกษาความเป็นไปได้ SMR จะต้องดำเนินการตามกฎระเบียบที่ภาครัฐกำหนด 

และรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนภายในประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งด้านกฎหมาย ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย ฯลฯ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ โดยคาดว่าภายในปี 2578 จะเห็นเทคโนโลยี SMR ในเชิงพาณิชย์ได้ในต่างประเทศ

ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการเร่งศึกษาพัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาดประเภทอื่นๆ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนภาคการผลิตของประเทศไทย ให้สามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนพลังงาน ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอนฯ สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยภายในปี 2608 

อย่างไรก็ดี จากรายงานตัวเลขของไทยที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สูงถึง 250 ล้านตันต่อปีนั้น แบ่งเป็นแหล่งที่มาจากกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า 37% การขนส่งคมนาคม 34% ภาคอุตสาหกรรม 24% และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ 5% 

โดยที่ไทยมีแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนถึงปี 2593 โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า ให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง จาก 2562 ที่ 100 ล้านตัน จนไปถึงปี 2593 จะอยู่ที่ 41 ล้านตัน 

แต่ในส่วนของภาคอุตสาหกรรม ปี 2562 อยู่ที่ 42 ล้านตัน แต่ช่วงปี 2593 กลับขึ้นมาเป็นประมาณ 50 ล้านตัน แสดงว่าแผนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ประสบความสำเร็จในกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะว่าภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้พลังงานความร้อน (Thermal Energy) ซึ่งไม่สามารถผลิตจากพลังงานหมุนเวียนประเภทแสงอาทิตย์หรือลมได้ 

ในขณะที่ทุกภาคส่วนกำลังติดตามเรื่องนโยบาย CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่ได้กำหนดราคาคาร์บอนฯ 

สำหรับสินค้าบางรายการที่นำเข้าไปในกลุ่มประเทศยุโรป มีผลบังคับใช้ในปี 2569 หากเอกชนยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานสะอาดได้ หรือมีพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันลดลง หรือโดนกำแพงภาษีเพิ่มขึ้น ในขณะที่เทคโนโลยี SMR สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายรูปแบบ อาทิ การผลิตไฮโดรเจน การผลิตไอน้ำ การใช้เป็นแหล่งพลังงานสีเขียวในกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)