บางจากคิกออฟหน่วยผลิต SAF เริ่ม 1 ล้านลิตรต่อวันแห่งแรกในไทย

29 เม.ย. 2568 | 05:13 น.
อัปเดตล่าสุด :29 เม.ย. 2568 | 05:13 น.

บางจากเดินเครื่องหน่วยผลิต SAF โดยเฉพาะกำลังผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวันแห่งแรกในไทย ต่อยอดกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมสีเขียว

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการต่อยอดกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมสีเขียว โดยล่าสุดได้เปิดหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง 

ซึ่งเป็นหน่วยผลิต Neat SAF 100% ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ (Stand Alone) แห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ภายใต้ระบบที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ISCC (International Sustainability and Carbon Certification) 

โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการขนส่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 ล้านลิตรต่อวัน ใช้เทคโนโลยี HEFA (Hydroprocessed Esters and Fatty Acid) แปรรูปกรดไขมันหรือน้ำมันพืช เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ที่ผ่านการออกแบบและพัฒนา

ทั้งนี้ เป็นการดำเนินการร่วมกับ 2 บริษัทคือ Desmet จากประเทศเบลเยี่ยม ด้านกระบวนการปรับสภาพวัตถุดิบ (Pretreatment) และ UOP Honeywell จากสหรัฐอเมริกาด้านเทคโนโลยีแปรสภาพไฮโดรโปรเซสซิ่ง (Hydroprocessing) ทำให้กระบวนการผลิตสามารถควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบ การปรับสภาพน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว การเติมไฮโดรเจน การปรับโครงสร้างโมเลกุล 

บางจากคิกออฟหน่วยผลิต SAF โดยเฉพาะ 1 ล้านลิตรต่อวันแห่งแรกในไทย

ไปจนถึงการกลั่นแยก (Fractionation) เพื่อให้ได้เชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเทียบเท่าน้ำมันอากาศยานตามมาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials) โดยมีผลิตภัณฑ์หลักคือ Neat SAF และผลิตภัณฑ์ร่วมเช่น Bio-LPG และ Bionaphtha  ซึ่งขณะนี้หน่วยผลิต SAF อยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถนะของโรงงาน (Plant Performance Test Run) 

จากข้อมูลขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ภาคการบินมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 492 ล้านตันต่อปี แม้จะใช้พลังงานเพียง 2.9% ของโลก การพัฒนา SAF จึงเป็นปัจจัยของแผนการลดคาร์บอนในระดับโลก สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ 80% ซึ่งมากกว่าและคุ้มทุนกว่าเทคโนโลยีอื่นในปัจจุบัน  

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า หลายประเทศได้ออกมาตรการบังคับใช้ SAF (SAF Blending Mandate) ในเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เช่น สหภาพยุโรป (2% ในปี 2568 และ 6% ในปี 2573) สหราชอาณาจักร (2% ในปี 2568 และ 10% ในปี 2573) และสิงคโปร์ (1% ในปี 2569 และ 5% ในปี 2573) ส่วนประเทศไทย อยู่ระหว่างการพิจารณาการกำหนดมาตรการผสมดังกล่าว

“SAF ยังช่วยลดมลพิษทางอากาศอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเกือบจะไม่มีสารอะโรมาติกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารดังกล่าวมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการกระตุ้นการเกิดโรคมะเร็ง และยังมีปริมาณสารซัลเฟอร์ต่ำมาก จึงช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ รวมถึงลดความเสี่ยงของการเกิดฝนกรด”