สุวัจน์ให้กำลังใจ เอสเอ็มอี-โอทอป ร้านอาหารท้องถิ่น จิ๊กซอว์ท่องเที่ยวไทย

20 ส.ค. 2565 | 02:04 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2565 | 09:09 น.

“สุวัจน์”ให้กำลังใจ SME-OTOP ร้านอาหารท้องถิ่น ขอให้คนไทยช่วยกันรักษาไว้ เหตุเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของการท่องเที่ยวไทย

วันที่ 19 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 น.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Hua Hin Taste เปิดอาณาจักรศูนย์รวมความอร่อยระดับตำนาน รวมของกินถิ่นหัวหิน กว่า 20 ร้าน ณ ศูนย์การค้าบูลพอร์ต หัวหิน 

 

โดยมีว่าที่ร้อยตรีกรกฎ โอภาส รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ นายกิตติ เฟื่องฟู เลขานุการ นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน นายกิตติ สิริเพชรเกษม อุปนายก สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว หัวหิน/ชะอำ นายณฐพันธ์ อิทธิละวิวงฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บลูพอร์ต หัวหิน และมิสเตอร์โยเซฟ เดลลา กัทตา ผู้จัดการทั่วไป อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท ร่วมเปิดงานดังกล่าว

นายสุวัจน์ กล่าวว่า งานวันนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้มีการรวบรวมของอร่อยของท้องถิ่นมาไว้ที่เดียวกันเพราะว่าเป็นการอนุรักษ์ของอร่อยแล้วก็ฝีมือต้นตํารับรสชาติ ซึ่งหาได้ยากบางร้านรุ่นที่สอง รุ่นที่สามแล้ว บางร้าน 60-70 ปี ถ้าเราไม่มีการอนุรักษ์เอาไว้รสชาติก็หายไป 

 

การที่เราได้มีร้านอาหารอร่อยๆ ในแต่ละท้องถิ่นมันเป็นเสน่ห์ของประเทศ เพราะว่าเวลานักท่องเที่ยวเข้ามาเขาก็อยากจะไปจังหวัดต่างๆ ไปตามอําเภอต่างๆ ซึ่งแต่ละแห่งที่นักท่องเที่ยวไปก็มีของดีที่แตกต่างกันไป บางท้องถิ่นอาจจะเป็นเรื่องเสื้อผ้า บางท้องถิ่นอาจจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ เป็นขนม บางท้องถิ่นอาจจะเป็นของกิน บางท้องถิ่นอาจจะเป็นที่เที่ยว 

“แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผมว่าในเรื่องของการเที่ยว เรื่องของกิน เป็นพื้นฐานที่แน่นอน ช้อปปิ้งกับของกิน นี่คือ เสน่ห์ของเมืองไทย และของกินหรืออาหารบ้านเรา สี่ภาคก็ไม่เหมือนกัน แต่ละจังหวัดก็มีของดี แต่ละอําเภอก็มี แต่ละตําบลก็มี”

 

ฉะนั้น ในการที่เราได้มีการรวบรวมแล้วก็อนุรักษ์ เรื่องของกินต่างๆ เอาไว้ นอกจากจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์แล้วก็เป็นเรื่องของการต่อยอดให้ทุกคนมีอาชีพ สําคัญที่สุดคือ เป็นพื้นฐานที่จะส่งเสริมการเติบโตทางด้านการท่องเที่ยว

 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตอนนี้เราเจอเรื่องโควิดมาสองปี เราเคยมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนตอนนี้สถานการณ์โควิดก็ถือว่าคลี่คลายขึ้น ปีนี้ทั้งปีเราอาจจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาอีกประมาณ 8 ล้านคนก็เท่ากับ 20% 

 

“สมมุติเราทํากันดีๆ บรรยากาศภายในประเทศเป็นใจ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่กดดันเรามาก ปีหน้าเราอาจจะขยับมาถึงครึ่งหนึ่งก็ได้ ก็อาจจะกลับมา 25 ล้านคน และอีกปีหนึ่งทุกอย่างก็น่าที่จะกลับมาเหมือนเดิม” 

 

ดังนั้น ตอนนี้ถ้าเราไม่ช่วยกันไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ หรือไม่ช่วยกันในการสร้างกําลังซื้อภายในประเทศ พวก SME ผู้ประกอบการ หรือร้านอาหารอร่อยๆ ที่มีชื่อเสียงแต่เดิมๆ เขาอาจจะอยู่ไม่ได้ อาจจะหายไปเฉยๆ เลย ของดีๆ รสชาติดีๆ สูตรอาหารดีๆ แม่ครัวเก่าๆ อาจจะหายไปเลย หายไปพร้อมกับ SME หายไปกับผู้ประกอบการ

 

“วันนี้นักท่องเที่ยว 40 ล้านคนก็ยังไม่มา เราต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นกําลังซื้อภายในประเทศให้เกิดขึ้น ความมีน้ําใจของคนไทย ความเป็นชาตินิยม ไทยกิน ไทยเที่ยว ไทยใช้  ไทยเจริญ คนไทยออกมาช่วยกัน มาสร้างกําลังซื้อ ใครที่พอมีกําลังก็ออกมากิน มาเที่ยวกัน อยู่ในประเทศ อุดหนุนสินค้าไทยของกินอร่อยๆ สินค้าโอทอป ผู้ประกอบการต่างๆ ให้เค้าอยู่ได้ อย่าให้ทุกคนจมน้ําลอยคอกันไปก่อนสักหนึ่งปีสองปีช่วยกันประคับประคอง วันนี้เราต้องช่วยกัน” 

 

นายสุวัจน์ ยังเป็นห่วงว่า ขณะนี้เรื่องสินค้าราคาแพงก็เดือดร้อนกันมากก็เห็นใจพี่น้องประชาชน น้ํามันก็เบาลงแต่แก๊สหุงต้มขึ้นราคา ค่าไฟฟ้าขึ้นเป็นอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ไข่ไก่ขึ้น มะหมี่สำเร็จก็จะขอขึ้น ตอนนี้รัฐบาลก็ยังดูแลอยู่ 

 

“ผมว่าสิ่งต่างๆ มันเริ่มสะท้อนถึงสถานการณ์ของผลกระทบจากเรื่องน้ํามันแพง แก๊สแพง เรื่องต้นทุนสินค้าราคาแพง เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมันก็จะรวมๆ กันทําให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าต่างๆ มีราคาแพงขึ้น สูงขึ้นก็เริ่มมีเกิดผลกระทบกับพี่น้องประชาชน 

 

ดังนั้น วันนี้คนไทยต้องไม่ทิ้งกัน เราถึงจะอยู่ได้  และก็ต้องทํากันทั้งสองทาง คือ 1.อย่าให้ของแพง 2.กระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ ร้านอาหารต่างๆ อยู่ได้ ก็คือ การสร้างกําลังซื้อภายในประเทศ คือ คนไทยออกมาช่วยกัน ใช้จ่ายอะไรบ้าง ตามที่เราพอมี สร้างกําลังซื้อไปในประเทศ แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไงก็จะเป็นหลักเศรษฐกิจของประเทศ 

 

เพราะฉะนั้น อย่าให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่เรียกว่าห่วงโซ่การผลิต หรือ SME เขาเสียหาย อย่าให้เขาจมน้ํา อย่าให้เขาหายไป รักษาเอาไว้ให้ได้ในช่วงนี้ 

 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า เรื่องอาหารถือว่าเป็น Soft Power  มันมีอยู่ในการท่องเที่ยว และเป็นวัฒนธรรมของอาหาการกิน พอพูดถึงเมืองไทยเรื่องอาหาร อันดับหนึ่งของเมืองไทย เมืองท่องเที่ยว ทุกคนก็จะนึกถึงอาหารไทย นึกถึงต้มยํากุ้ง, แกงมัสมั่น, ผัดไทย, ส้มตํา และแกง นึกถึงสตรีทฟู้ด  

 

นี่คือ เสน่ห์ของเมืองไทย เป็นจุดขาย คนที่มาเที่ยวเมืองไทยบางทีก็อาจจะนึกถึง Michelin แต่ว่าส่วนใหญ่มาเมืองไทยเขาชอบที่จะมาเจอของจริง สตรีทฟู้ด ร้านอาหารโฮมเมดยิ่งทำกันมาสองสามชั่วอายุคน อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นเสน่ห์ 

 

ฉะนั้น เราต้องรักษาเสน่ห์ อย่างเมืองหัวหินใครมาเมืองหัวหิน ก็ต้องนึกถึงโจ๊กต้นโพธิ์ หัวหิน, เจ็กเปี๊ยะ,ลอดช่องนายดํา, ก๋วยเตี๋ยวปลานายหอย, ข้าวเหนียวมะม่วงป้าเจือ, ตะโก้เสวย จากร้านเบญจพงศ์, ไก่ทอดแถวรถไฟ สิ่งเหล่านี้คือ เป็นเสน่ห์ที่ทําให้คนมาหัวหิน ก็ต้องไปกินพวกนี้ คือ จุดดึงดูดคนท่องเที่ยว

 

“วันนี้ ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่ว่านักท่องเที่ยวก็เริ่มรู้จักอาหารไทย เขาก็แสวงหาสิ่งต่างๆเหล่านี้ เพราะนี่คือเสน่ห์ของเมือง อย่าให้ร้านหนึ่ง ร้านใดหายไป ต้องช่วยกันรักษา นี่คือ เสน่ห์ คือ จุดขายด้านการท่องเที่ยว และการที่เราสร้างจุดท่องเที่ยวแล้วรวบรวมของดี ของอร่อยของแต่ละหมู่บ้าน แต่ละตําบล แต่ละอําเภอ แต่ละจุดท่องเที่ยว ภูเก็ตมีอะไร รวบรวมเอาไว้ สมุยมีอะไรโคราชมีอะไร เชียงใหม่มีอะไร พัทยามีอะไร ระยองมีอะไร  แต่ละจุด ผมว่านี่คือเสน่ห์จริงๆ ประเทศไหนก็ไม่เหมือนของคนไทย ขอให้เราภูมิใจ” นายสุวัจน์ กล่าว