นายขจรจักษณ์ นวลพรหมสกุล รองผู้ว่าการด้านบริหาร ในฐานะรองโฆษก กยท. เปิดเผยว่า จากที่สมาคมประเทศผู้ผลิตยางพาราธรรมชาติ (Association of Natural Rubber Producing Countries: ANRPC) ได้ให้ข้อมูลว่าผลผลิตยางในช่วงนี้มีปริมาณมากกว่าความต้องการใช้นั้น เป็นการให้ข้อมูลภาพรวมของผลผลิตยางพาราจากประเทศสมาชิกทั้งหมด ในส่วนของประเทศไทยนั้น
เนื่องจากขณะนี้เป็นฤดูมรสุม มีร่องมรสุมพัดผ่านประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เกษตรกรไม่สามารถกรีดยางได้ ทำให้ปริมาณยางออกสู่ตลาดในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องถึงต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 5-6% นอกจากนี้กรมอุตุนิยมวิทยายังได้คาดการณ์ด้วยว่า ฝนจะตกหนักต่อเนื่องไปจนถึงปลายเดือนตุลาคม 2565 ยิ่งจะทำให้ปริมาณยางในตลาดน้อยลง เพราะไม่สามารถกรีดยางได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้เดิมนั้นได้คาดการณ์ว่า ในเดือนกันยายน 2565 จะมียางออกสู่ตลาดประมาณ 479,000 ตัน และเดือนตุลาคม 2565 จะมียางออกสู่ตลาด 496,000 ตัน ซึ่งจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นคาดว่าปริมาณยางจะลดลงจากปีก่อนของเดือน ก.ย.- ต.ค. ร่วม 100,000 ตัน
นอกจากนี้ กยท. ยังได้ดำเนินโครงการชะลอขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อลดปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด เป็นการนำยางไปเก็บไว้เพื่อนำออกมาขายในช่วงที่ยางออกสู่ตลาดน้อยหรือ "แก้มลิงยาง" ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนยกระดับ รักษาเสถียรภาพราคาซื้อขายยางในตลาด และเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมตามกลไกตลาด ในขณะเดียวกันยังช่วยให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางมีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิตอีกด้วย
โดย ในปีนี้ กยท.จะเปิดโอกาสให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการมากขึ้น และขยายดำเนินโครงการดังกล่าวกับยางทุกประเภท ทั้งยางก้อนถ้วน น้ำยางสด ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นรมควัน และยางประเภทอื่นๆ ตั้งเป้าหมายโครงการฯไว้จำนวน 100,000 ตัน ซึ่งขณะนี้ กยท.ได้จัดสรรงบประมาณไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว
“ปริมาณยางจากโครงการชะลอการขายยาง จะนำออกมาขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งจะไม่กระทบต่อราคายางเพราะเป็นช่วงฤดูปิดการกรีดยาง ปริมาณยางออกสู่ตลาดน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นปริมาณยางในขณะนี้จึงไม่ได้มีปริมาณมากเกินกว่าความต้องการของตลาด ความต้องการยางและปริมาณผลผลิตยาง ยังถือว่าสมดุล" รองผู้ว่าการ
กยท. กล่าวยืนยัน
ส่วนสาเหตุที่ราคายางในช่วงนี้ลดลงนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากปริมาณการผลิตรถยนต์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่นำเข้ายางพาราจากประเทศไทยลดลง เนื่องจากขาดแคลน ชิปIC ที่จะต้องนำเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ เพราะประเทศไต้หวันซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตชิป IC รายใหญ่ของโลกลดปริมาณการส่งออกขายประเทศจีนด้วยเหตุผลความขัดแย้งทางการเมืองและการทหาร ดังนั้นเมื่อยอดการผลิตรถยนต์ลดลง การใช้ยางล้อสำหรับรถยนต์ก็ลดลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากวันชาติจีน คือ วันที่ 1-10 ตุลาคม 2565 แล้วคาดว่า สถานการณ์น่าจะคลี่คลาย การส่งออกชิปIC ของไต้หวันก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะทำให้ยอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น การใช้ยางล้อก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ความต้องการใช้ยางก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ปริมาณยางมีจำนวนจำกัด ดังนั้นราคายางปรับขึ้นอย่างเสถียรภาพในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน ประกอบกับราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ต้นทุนปรับลดลง ส่งผลให้ราคายางมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน