สินค้าเกษตรผวาภาษี "ทรัมป์" ส่งออก1.8 ล้านล้านส่อดิ่ง

11 มี.ค. 2568 | 21:37 น.

ส่งออกสินค้าเกษตร 1.83 ล้านล้าน ผวา“ทรัมป์”ขึ้นภาษีโหด กดราคาข้าวในประเทศวูบตาม ห่วงเป็นภาระรัฐอุดหนุนไม่รู้จบ ระบุ 12 ปี 4 รัฐบาล อุ้มชาวนา 1.3 ล้านล้าน แช่แข็งไม่พัฒนา

ภาคเกษตรของไทยถือเป็นอีกเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรอยู่ในภาคเกษตรกว่า 30 ล้านคน เป็นแรงงานเกษตร 19.72 ล้านคน และมีจำนวนครัวเรือนเกษตรประมาณ 7.9 ล้านครัวเรือน แต่มีสัดส่วนต่อจีดีพีประเทศเพียงประมาณ 8% ที่ผ่านมาภาคเกษตรของไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยง หรือความท้าทายทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิต ราคาและรายได้ของเกษตรกร และการส่งออกของประเทศในภาพรวม

จับตา“ทรัมป์”ขึ้นภาษีข้าว

รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ความท้าทายของภาคเกษตรไทย ณ เวลานี้มีหลากหลายมิติ ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยปัจจัยภายนอกที่สำคัญได้แก่ สถานการณ์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนจากนโยบายการคุ้มครองหรือปกป้อง (protectionism) ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้ America First ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่นำมาตรการทางภาษีศุลกากรมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ

ส่งผลให้การค้าโลกจากที่เคยพัฒนาสู่ระบบการค้าเสรี มากว่า 3 ทศวรรษภายใต้กรอบนโยบายขององค์การการค้าโลก(WTO) กำลังถูกท้าทาย สำหรับประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยในปี 2567 ล่าสุดไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ 35,428 ล้านดอลลาร์

ดังนั้นหากสหรัฐขึ้นภาษี มีสินค้าไทยหลายรายการที่จะได้รับผลกระทบ อาทิ ข้าว ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐประมาณปีละ 830,000 ตัน ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิและข้าวหอมกว่าร้อยละ 85 ซึ่งนโยบาย protectionism ของทรัมป์กำลังเพิ่มความเสี่ยงและความไม่แน่นอนให้กับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหรัฐ รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ แร่ธาตุบางชนิด และอื่น ๆ

สินค้าเกษตรผวาภาษี \"ทรัมป์\" ส่งออก1.8 ล้านล้านส่อดิ่ง

อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบข้อมูลของ “ฐานเศรษฐกิจ”พบในกลุ่มสินค้าส่งออกไปสหรัฐ 30 อันดับแรกของปี 2567 ในจำนวนนี้มีสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร 6 รายการใหญ่ที่ไทยส่งออกไปสหรัฐได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง , ข้าว, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และยางพารา คิดเป็นมูลค่ารวม 292,393 ล้านบาท

โลกร้อน-โลกรวน ทุบผลผลิต

ความท้าทายต่อมาคือ ภาวะโลกร้อนและโลกรวนได้นำไปสู่ความรุนแรงของภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งภาวะภัยแล้งและภาวะอุทกภัย(จากปรากฎการณ์เอลนีโญ และลานีญา)ที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น และจะส่งผลกระทบกับผลผลิต ขณะเดียวกันเรื่องโลกร้อนและโลกรวนได้นำไปสู่กฎกติกาการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ที่คำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่น การมีกรอบของข้อตกลงว่าด้วย Net Zero และความเป็นกลางทางคาร์บอน ทำให้สหภาพยุโรป(อียู) จัดทำมาตรฐาน CBAM สำหรับการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับประเทศที่จะส่งสินค้าเข้าไปยังตลาดอียู

รวมถึง EUDR ที่เป็นมาตรการเพื่อหยุดยั้งการทำลายป่าและใช้พื้นที่ป่ามาเป็นพื้นที่การเกษตร ซึ่งประเทศผู้ส่งออกสินค้าไปอียู จะต้องสร้างกลไกด้านการตรวจสอบย้อนกลับกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรต่างๆ ให้สามารถตรวจสอบได้ เป็นต้น

ผลิตแบบดั้งเดิม-ติดกับดักยากจน

ส่วนความท้าทายที่มาจากปัจจัยภายในประเทศ รศ.สมพร ชี้มีในหลายเรื่อง ได้แก่  เกษตรกรไทยยังทำการเกษตรอยู่บนแพลตฟอร์มเดิม โดยมีระบบการผลิตและการใช้ทรัพยการแบบดั้งเดิม การเรียนรู้เพื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิตของไร่นายังมีน้อยและปรับตัวไม่ทันกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการค้าสมัยใหม่

รศ.สมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ

“เวลานี้เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพและผลิตภาพการผลิตตํ่า มีต้นทุนการผลิตสูง ผลิตสินค้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานการค้า และได้ผลตอบแทนตํ่าตามมา เกษตรกรส่วนใหญ่จึงติดกับดักของความจนและตกอยู่ในภาวะหนี้สินเป็นจำนวนมากตามมา

ซึ่งหากมองจากเศรษฐกิจมหภาคจะเห็นว่าภาคการเกษตรของไทยแม้จะเป็นภาคที่ถือครองที่ดินและแรงงานจำนวนมาก แต่จากความด้อยประสิทธิภาพของภาคการเกษตรส่งผลให้สร้างผลิตภาพต่อจีดีพีของประเทศได้เพียงร้อยละ 8 ของสัดส่วนจีดีพีประเทศในภาพรวม”

นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากภาวะสูงวัยของผู้ประกอบอาชีพเกษตร โดยในจำนวนครัวเรือนชาวนากว่า 4.5 ล้านครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรขนาดเล็กมีเนื้อที่ถือครองน้อย ในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนเกษตรผู้สูงวัยในสัดส่วนที่สูง ยากที่จะส่งเสริมให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการจัดการไร่นาในเชิงธุรกิจฟาร์มทำได้จำกัด ขาดประสิทธิภาพในการจัดการไร่นา ผลิตภาพการผลิตต่อหน่วยของแรงงานและที่ดินจึงอยู่ในระดับตํ่าตามมา และยังมีปัญหาในด้านการเปลี่ยนผ่านคนรุ่นใหม่ให้สนใจในอาชีพการเกษตร แม้จะเกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของเกษตรแม่นยำ(precision farming) ก็ตาม

ผ่าน 4 รัฐบาลอุ้ม 1.3 ล้านล้าน

อีกความท้าทายสำคัญคือ นโยบายการเกษตรของไทยที่ผ่านมาขาดความต่อเนื่อง และมุ่งเน้นประชานิยมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการมีนโยบายการให้การอุดหนุนแบบให้เปล่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมา นับจากปี 2554 ของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ได้ใช้นโยบายรับจำนำข้าวในระดับราคาสูงกว่าตลาด 50% และให้สีเป็นข้าวสารเก็บ ได้สูญเสียงบประมาณไปในส่วนนี้ จากการขาดทุนในโครงการไม่ตํ่ากว่า 6 แสนล้านบาท

มาในสมัยรัฐบาล คสช. และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้มีมาตรการให้เงินอุดหนุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพข้าวไม่เกิน 20 ไร่ไร่ละ 1,000 บาท และมาตรการจ่ายเงินประกันส่วนต่างของราคา รัฐใช้เงินไปไม่น้อยกว่า 6 แสนล้านบาทเช่นกัน รวมถึงการให้การอุดหนุนของรัฐบาลเพื่อไทยในปัจจุบันที่จ่ายให้ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ใช้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาท จะเห็นว่าการให้การอุดหนุนแก่ชาวนาข้างต้นโดยรวมแล้วไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านล้านบาท ไม่ได้สร้างความเป็นอยู่ให้เกษตรกรดีขึ้น เกษตรกรกลับเป็นหนี้สินขยายตัว และปรับตัวได้น้อยมาก

“นโยบายที่ผ่านมาจึงเป็นนโยบาย “แช่แข็ง” เกษตรกรไทย ทำให้เกิดความอ่อนแอ ภาคการผลิตข้าวของเกษตรกรชาวนาไทยไม่ปรับตัวและตามประเทศคู่แข่งไม่ทัน อีกทั้งการปรับตัวไปสู่การแสวงหาการผลิตพืชที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูงมีน้อยและเป็นไปอย่างเชื่องช้า การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุนในกระบวนการผลิต เช่นการปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตพืชสวนหรือการทำเกษตรผสมผสานในพื้นที่ทั้งในและนอกชลประทานที่ช่วยเสริมและกระจายรายได้ที่ดีกว่าแต่เกษตรกรกลับไม่เลือกพัฒนาไปในทิศทางนี้ พอโอกาสเอื้ออำนวยก็ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสได้”

ปาล์มราคาดี-ข้าว-มันน่าห่วง

รศ.สมพร ยังให้ความเห็นถึงทิศทางของราคาสินค้าเกษตรไทยปี 2568 ว่า ในส่วนของสินค้าข้าวจะเป็นปีที่ราคาข้าวไทยตกต่ำ หลังจากอินเดียได้กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวในตลาดโลก ปาล์มนํ้ามัน และนํ้ามันปาล์มจะมีราคาที่สูงขึ้น เป็นผลจากอินโดนีเซียผู้ส่งออกนํ้ามันปาล์มรายใหญ่ของโลกได้ลดการส่งออกและใช้นำวัตถุดิบไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น ส่วนผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยมีจำกัด เนื่องจากมีความแปรปรวนปริมาณอุปทานที่ลดลง และความต้องการใช้ภายในประเทศยังมีมากกว่าอุปทานจะกดดันให้ระดับราคานํ้ามันปาล์มและราคาปาล์มสูงขึ้น

ส่วนยางพาราและมันสำปะหลัง จะเป็นการแกว่งตัวในช่วงแคบ ๆ และยังไม่มีปัจจัยที่จะมายกอุปสงค์เหมือนกับกรณีของการระบาดของโควิดที่ทำให้ราคายางพาราปรับสูงขึ้น ขณะที่สถานการณ์ราคามันสำปะหลังน่าจะทรงตัว เพราะเศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัว ความต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อเป็นวัตถุดิบด้านอาหารและไม่ใช่อาหารจะชะลอตัวบ้างในบางช่วงเวลา และจะมีผลต่อการแกว่งตัวของราคาในทิศทางที่ไม่เพิ่มขึ้น

โลกร้อนทุบเสียหาย 2.8 ล้านล้าน

ด้าน นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก สร้างความเสียหายในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคเกษตรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้น ฤดูกาลมีความแปรปรวน และเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เป็นวัฏจักรและบ่อยครั้งขึ้น ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายงานสรุปให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และคาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมากในอนาคตอีกด้วย อาทิ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเกษตร มีผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าภาคเกษตรไทยนับว่ามีความเปราะบางสูงมากต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดจะสร้างความเสียหายสะสมระหว่างปี 2554-2588 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 0.61-2.85 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ย 17,912–83,826 ล้านบาทต่อปี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง

เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่า 10 จังหวัดแรกที่คาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร สงขลา นครราชสีมา ตรัง จันทบุรี ระยอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ

“หากพิจารณาเป็นรายพืชที่เป็นห่วงที่สุดคือ ไม้ผลและพืชสวน เนื่องจากจะมีต้นทุนการปรับตัวสูง รวมทั้งต้นทุนค่าเสียโอกาสด้วย อย่างไรก็ดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปัจจุบันได้จัดทำแผนปฏิบัติการ ด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2566-2570 เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติต่าง ๆ อีกด้วย”

นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธานกรรมการ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลกระทบจากสภาพอากาศประเมินปีนี้ไม่น่ารุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายมีความกังวล ยกตัวอย่างช่วงนี้ โดยปกติไทยจะเข้าสู่ฤดูแล้ง จะไม่สามารถเปิดกรีดยางได้เนื่องจากต้นยางเข้าสู่ฤดูผลัดใบ แต่ปรากฏช่วงนี้มีพายุฤดูร้อนเข้าทำให้มีฝนตก มีความชุ่มชื้น ชาวสวนสามารถกรีดยางได้ และมีราคาที่จูงใจ โดยน้ำยางสดเวลานี้อยู่ที่ 69.70 บาทต่อกิโลกรัม กลายเป็นว่าช่วงนี้มีปริมาณน้ำยางเข้าสู่ตลาดมาก และยางไม่ขาดแคลนตามที่เคยคาดการณ์ไว้