10 ปี สินค้า-ตลาดส่งออกไทย "ย่ำกับที่" ลากยาว GDP ประเทศโตต่ำ

14 มี.ค. 2568 | 05:07 น.
อัปเดตล่าสุด :14 มี.ค. 2568 | 05:17 น.

ภาคธุรกิจเอกชนและภาครัฐของไทยในเวลานี้ อยู่ในสถานการณ์ตั้งรับและลุ้นระทึกว่าสินค้าไทยจะถูกสหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีหรือไม่ และในสินค้าใดบ้าง

จากก่อนหน้านี้ในสินค้าเหล็กและอลูมิเนียมได้ถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีในอัตรา 25% มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 12 มีนาคม 2568 ส่วนสินค้ารถยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์ ที่ทรัมป์ประกาศจะปรับขึ้นภาษีตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนต้องรอลุ้นว่าถึงที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ดีสินค้าไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า เนื่องจากในปีที่ผ่านมาไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมาก โดยได้ดุลการค้า 35,427.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(1.23 ล้านล้านบาท) ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 11 ของประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐ

ขณะที่เดือนมกราคม 2568 ล่าสุด ไทยยังได้ดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่องที่ 3,032.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.02 แสนล้านบาท) แน่นอนว่าหากโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยเมื่อใด ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐได้ลดลง

ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนของไทยต้องเร่งดำเนินการคือการหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไทยพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าเป็นห่วง

10 ปี สินค้า-ตลาดส่งออกไทย \"ย่ำกับที่\" ลากยาว GDP ประเทศโตต่ำ

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากรในปี 2557 หรือ 10 ปีก่อน ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐในสัดส่วน 10.50% ของการส่งออกในภาพรวม ในปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 การส่งออกของไทยไปสหรัฐสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 12.73% และปี 2567 ล่าสุด สัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 18.29%

เทียบกับประเทศจีนที่เป็นประเทศคู่สงครามการค้ากับสหรัฐ ในสมัยที่ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งแรก จีนซึ่งเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมากที่สุดในโลก พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐสัดส่วนถึง 20% แต่หลังจากสหรัฐเปิดสงครามการค้ากับจีนต่อเนื่องมาถึงสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน จีนได้แสวงหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ

ล่าสุดในปี 2557 จีนพึ่งพาตลาดสหรัฐลดลดลงเหลือ 15% ของการส่งออกในภาพรวม และตั้งเป้าจะลดสัดส่วนลงอีก เพื่อลดความเสี่ยง และผลกระทบจากการถูกสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้า จะเห็นได้ว่าเวลานี้แม้ทรัมป์ จะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากจีนเป็น 20% (จากที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้จะปรับขึ้น 60-100%) ก็ไม่สะเทือนจีน มิหนำซ้ำจีนยังประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เป็นการตอบโต้แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”

ขณะเดียวกันจากข้อมูลการส่งออกสินค้าไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถึง ณ ปัจจุบัน ก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก โดยในปี 2557 สินค้าส่งออกของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, น้ำมันสำเร็จรูป, อัญมณีและเครื่องประดับ และเม็ดพลาสติก ล่าสุดในปี 2567 สินค้าส่งออก 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ

จะเห็นได้ว่าสินค้าส่งออกของไทยและโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง และหลายสินค้าเป็นหมวดเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งขัน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย โดยที่ไทยยังไม่ได้ปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมากนัก และยังพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นอันดับ 1 โดยที่ไม่ได้กระจายตลาดส่งออกให้มีความหลากหลายครอบคลุมในทุกภูมิภาคของโลกเหมือนอย่างที่จีนทำ

ดังนั้นหากสินค้าไทยถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ย่อมสะเทือนถึงเศรษฐกิจ หรือการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ภาคการส่งออกยังเป็นสัดส่วนสูงเกือบ 60% ของจีดีพี ทำให้โอกาสในปีนี้จีดีพีไทยจะไปสู่เป้าหมายขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% ตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้ยังเป็นไปได้ยาก

สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งลงมือทำอย่างจริงจังคือ การหาตลาดใหม่ ๆ ให้กับสินค้าไทย การปรับโครงสร้างการผลิตสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต การสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมสีเขียวและในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่จะช่วยปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ให้กับประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มการบริโภคและการจ้างงานในประเทศให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว