thansettakij
ลงนามแล้ว  "ไทย - ภูฏาน"  FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้

ลงนามแล้ว "ไทย - ภูฏาน" FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้

04 เม.ย. 2568 | 05:46 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2568 | 06:03 น.

"พิชัย" รมว.พาณิชย์ ลงนาม ข้อตกลงการค้าเสรี FTA ไทย-ภูฏาน ฉบับที่ 17 ของไทย เปิดตลาดใหม่เอเชียใต้ ดันเพิ่มการค้าสองฝ่ายเป็น 120 ล้านดอลลาร์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 

ได้ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ภูฏาน โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรีของไทย และดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีของภูฏาน เป็นสักขีพยาน ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่ง FTA ไทย – ภูฏาน ถือเป็น FTA ฉบับที่ 17 ของไทย

 

ลงนามแล้ว  \"ไทย - ภูฏาน\"  FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้

 

ทั้งนี้ ภูฏานถือเป็นประเทศลำดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียใต้ที่ได้จัดทำ FTA กับไทย ต่อจากอินเดียและศรีลังกา และเป็นตลาดศักยภาพแห่งใหม่ที่มีความต้องการซื้อสินค้าไทย ซึ่งจะช่วยขยายฐานตลาดส่งออกของไทยให้เพิ่มขึ้น 

สำหรับ FTA ไทย-ภูฏาน จะครอบคลุมเฉพาะการเปิดเสรีการค้าสินค้า โดยเป็นการยกเว้นภาษีทันทีในวันที่ความตกลงมีผลใช้บังคับ ซึ่งภูฏานจะยกเว้นภาษีสินค้าเกือบทั้งหมดให้กับไทยโดยสินค้าสำคัญที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน สินค้าเกษตรและอาหาร (ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารปรุงแต่ง) สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า 

ขณะที่ไทยจะยกเลิกภาษีสินค้าให้กับภูฏานร้อยละ 94 โดยสินค้าสำคัญที่คาดว่าภูฏานจะได้รับประโยชน์ อาทิ มันฝรั่ง ชาเขียว แยมและเยลลี่ผลไม้และน้ำผลไม้ 

 

ลงนามแล้ว  \"ไทย - ภูฏาน\"  FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้

 

ทั้งนี้ ภูฏานมีศักยภาพที่จะเป็นตลาดรองรับการส่งออกของไทยได้ในระยะยาวได้ ซึ่ง FTA จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มพูนปริมาณการค้าสองฝ่ายเป็น 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากภูฏานมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง และได้ก้าวเป็นประเทศกำลังพัฒนาเมื่อปี 2566 โดยคาดว่าการเจรจาจัดทำ FTA ไทย – ภูฏาน จะเป็นประโยชน์ต่อไทย 

โดยจะช่วยสร้างศักยภาพทางการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดภูฏาน จากการลดเลิกภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยจะมีแหล่งวัตถุดิบทางเลือกเพิ่มมากขึ้น จากการที่ไทยเปิดตลาดให้กับสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบจากภูฏาน อาทิ แร่ธาตุ ถั่งเช่า เห็ดมัตซึทาเกะ และผักและผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิล ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของไทย รวมทั้งผู้บริโภคชาวไทยจะมีทางเลือกบริโภคสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น 

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะจัดสัมมนาประชาพิจารณ์ FTA ไทย-ภูฏาน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ FTA ไทย-ภูฏาน ให้แก่ทุกภาคส่วน ทั้งในประเด็นการเปิดตลาดสินค้า กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ จากนั้นหน่วยงานของไทยจึงจะดำเนินการออกกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการมีผลใช้บังคับของ FTA 

 

ลงนามแล้ว  \"ไทย - ภูฏาน\"  FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้

 

ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้าให้ FTA ไทย – ภูฏาน มีผลใช้บังคับได้ภายในวันที 1 มกราคม 2569ตนจึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยศึกษาโอกาสและแนวทางการใช้ประโยชน์จาก FTA ไทย-ภูฏานเพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ FTA มีผลใช้บังคับ

ในปี 2567 การค้าระหว่างไทยและภูฏานมีมูลค่า 460.47 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปภูฏาน 457 ล้านบาท และนำเข้าจากภูฏาน 3.47 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ ยานพาหนะและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เครื่องดื่ม และผลไม้กระป๋องและแปรรูป 

สินค้านำเข้าสำคัญของไทย อาทิ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักและผลไม้ เครื่องบิน เครื่องร่อนอุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา

 

ลงนามแล้ว  \"ไทย - ภูฏาน\"  FTA ฉบับที่ 17 เปิดตลาดใหม่สู่เอเชียใต้