นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ฐานทอล์ค’ ถึงยุทธศาสตร์การรับมือกับนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยระบุว่า สิ่งแรกที่ประเทศไทยควรทำคือ “Reality Check” เพื่อค้นหาว่าอะไรคือเป้าหมายแท้จริงของทรัมป์จากพฤติกรรมที่แสดงออกในการตั้งภาษีครั้งนี้
“เราต้องหาทางรู้ให้ได้ว่า ทรัมป์ต้องการรายได้จากภาษี หรือต้องการการเจรจา แต่เบื้องต้นดูจากพฤติกรรมและบริบท เขาน่าจะต้องการเคาะกะลาให้เราเข้าไปหาเพื่อเจรจาแบบทวิภาคี” จักรภพกล่าว
จักรภพระบุว่า รัฐบาลไทยควรเร่งตั้งทีมล็อบบี้เพื่อเข้าถึงตัวทรัมป์ให้เร็วที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องผ่านระบบราชการที่ล่าช้า ควรใช้ Personal Connection ซึ่งอาจเป็นคนในรัฐบาลไทยเองเป็นผู้นำทีม โดยเขาเชื่อว่า ไทยมีบุคคลที่ใกล้ชิดกับฝ่ายสหรัฐฯ อยู่แล้ว 3-4 คน หนึ่งในนั้นคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
พร้อมกันนี้ ไทยควรใช้จังหวะนี้ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” โดยขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศเพิ่มเติม เนื่องจากจีนมีบทบาทมากขึ้นในไทยจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอดีตที่ทำให้ชาติตะวันตกถอยห่างจากไทย จึงควรใช้โอกาสนี้เปิดตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาทุนจีนในระยะยาว
ในเชิงเศรษฐกิจ จักรภพเสนอให้ประเมินผลกระทบเชิงอุตสาหกรรมแบบเจาะจง เช่น สิ่งทอ อาหาร และรถยนต์ เพื่อหาทางปรับโครงสร้างการผลิตหรือขยายตลาดคู่ค้า โดยเฉพาะให้ภาคเอกชน อาทิ ส.อ.ท. สภาหอการค้า สมาคมธนาคารไทย เข้ามามีบทบาทในการกำหนดยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับภาค
สำหรับทิศทางในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศ จักรภพเสนอให้ไทยดำเนินการ 2 ด้านหลัก คือ
จักรภพยังเตือนว่า ประเทศไทยไม่มีศักยภาพในการ “ทุบโต๊ะ” ดังนั้น “การสื่อสาร” ต้องมีบทบาทสำคัญ เพื่อให้ประชาชนและนักลงทุนคลายความกังวล โดยควรอัปเดตข้อมูลความคืบหน้าของการจัดการปัญหานี้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง พร้อมทั้งเร่งการเจรจาในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้เกิดความชัดเจน
เขายืนยันว่า หากรัฐบาลต้องการความช่วยเหลือในด้านการสื่อสาร ตนพร้อมช่วยอย่างเต็มที่ แม้ไม่ได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการก็ตาม
“ทุกวันนี้รัฐบาลอยู่กันแบบเขาดิน คือมันมี Sector ที่ไม่สามารถข้ามกันได้ ตรงนี้นกอยู่ ตรงนี้หงส์อยู่ และตรงนี้ม้าลายอยู่” จักรภพกล่าวทิ้งท้าย