ผศ.ดร.น.สพ.ดุสิต เลาหสินณรงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งแรงกดดันจากสหรัฐอาจทำให้ไทยต้องมีการเจรจานำเข้าเนื้อหมู และเครื่องในหมูจากสหรัฐฯ เพื่อต่อรองลดดุลการค้านั้น
ในเรื่องนี้ขอแนะนำว่าก่อนการเจรจาอยากให้พิจารณาให้รอบด้าน ถึงผลกระทบในระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของคนไทย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า การเลี้ยงหมูในสหรัฐฯ อนุญาตให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งส่งผลถึงผู้บริโภคโดยตรง อีกทั้งกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหาร และกระทบต่ออาชีพเกษตรกรของไทย ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาการผลิตอาหารจากต่างชาติ ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีในอนาคต
สำหรับสารเร่งเนื้อแดง คือ ยารักษาโรคสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดลมให้ผู้ป่วยสามารถหายใจคล่องขึ้น อยู่ในกลุ่มเบตาอะโกนิสท์ (Beta-Agonist) เช่น ซัลบูทามอล (Salbutamol) เคลนบูเทอรอล (Clenbuterol) มาเพนเทอรอล (Mapenterol) หรือแรคโตพามีน (Ractopamine) ซึ่งจากผลข้างเคียงของยาดังกล่าว ผู้เลี้ยงหมูจึงนำยากลุ่มนี้มาผสมในอาหารสัตว์ หรือ นำไปฉีดในหมู เพราะหมูที่ได้รับยาจะตื่นตัวและเคลื่อนไหวตลอดเวลา กล้ามเนื้อทำงานมากขึ้น ทำให้สัดส่วนไขมันของหมูบางลง สัดส่วนเนื้อแดงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ที่บริโภคเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงจะได้รับยาที่ตกค้างอยู่ในกล้ามเนื้อหมู หลังการรับประทานยาจะออกฤทธิ์ทันที โดยมีอาการ หายใจเร็วขึ้น ใจสั่น กล้ามเนื้อสั่น สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ กลุ่มคนที่เป็นโรคหัวใจ มีอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ หากได้รับยานี้ จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูง และคนที่เป็นโรคเบาหวาน ยานี้จะไปบดบังอาการของโรคทำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานไม่รู้ตัวและวูบได้
"สารเร่งเนื้อแดง ไม่สลายตัวจากความร้อน ดังนั้นกระบวนการปรุงอาหารไม่สามารถช่วยกำจัดสารนี้ได้ แม้ผ่านกระบวนการปรุงอาหารแล้ว สารนี้ยังคงตกค้างอยู่" ผศ.ดร.น.สพ.ดุสิต กล่าวย้ำ
ทั้งนี้การนำยาดังกล่าวไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อในหมู หรือเร่งให้มีเนื้อแดงมากขึ้น ถือเป็นการปรับเปลี่ยนขั้นตอนกระบวนการการผลิต ในขณะที่ประเทศไทยมีมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงและการผลิตสุกรได้มาตรฐานสากล มีการพัฒนาคุณภาพของเนื้อหมูและประสิทธิภาพการผลิตตามมาตรฐานตลอดห่วงโซ่มาอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับการบริหารจัดการป้องกันโรคและการเลี้ยงสุกรที่เหมาะสม ( GAP) การจัดการให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ ตลอดจนการปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีทั้งปัญญาประดิษฐ์ ( AI) และหุ่นยนต์ มาใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์และขบวนการแปรรูป เพื่อให้เนื้อหมูมีคุณภาพดีและปลอดภัยต่อผู้บริโภค