‘ชำแหละ’งบกำไรบจ. มาร์จินลด0.52%ได้สต๊อก-ค่าเงินแข็ง1.38 บาทหนุน

24 พ.ค. 2560 | 11:00 น.
อัปเดตล่าสุด :24 พ.ค. 2560 | 11:09 น.
ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยบจ.ฟาดกำไร 2.8 แสนล้านไตรมาส 1 ยอดขายโตแค่ 13% ต้นทุนขายเพิ่ม ได้กำไรอัตราแลกเปลี่ยน กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท “เกศรา” คาดแนวโน้มผลประกอบการ 9 เดือนมีลุ้นทะยาน 21%พลังงานนำโด่งจากราคานํ้ามัน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 1/2560 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์(SET) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 284,662 ล้านบาท เติบโตประมาณ 21%มาจากการดำเนินงานปกติที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก อาทิ ยอดขายรวมจำนวน 2,705,102 ล้านบาท ขยายตัว 13.28% จากระยะเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 2,388,007 ล้านบาท

ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ลดลงจากระดับ 24.50 % เหลือจำนวน 23.98% โดยเป็นการลดลงของบริษัทในเกือบทุกกลุ่มยกเว้น กลุ่มธุรกิจการเงินที่ดีขึ้นจาก 55.55% เป็น 62.30% และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม จากระดับ 9.81% เพิ่มเป็น 13.29% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ กระโดดจาก8.18% เพิ่มเป็น 13.69% โดยที่มียอดขายเติบโต 27.97% เป็น 193,692 ล้านบาท

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง เกิดจากบริษัทโดยรวมมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นจำนวน 253,465 ล้านบาท คิดเป็น ประมาณ 14% จากจำนวน 1,802,869 ล้านบาท เป็น 2,056,334 ล้านบาท

ส่วนกำไรทางบัญชีจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.38 บาทมาอยู่ที่ 34.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 35.83 บาทเมื่อสิ้นปี 2559 มีผลให้บริษัทมีการรับรู้กำไรและผลประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน โดยไตรมาส 1/2560 มีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนสูงถึง 11,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,688 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 267% เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนมีกำไรส่วนนี้จำนวน 3,250 ล้านบาท

ทั้งนี้หมวดพลังงานและสาธารณูปโภคมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนมากที่สุดถึง 6,336 ล้านบาท ส่วนกลุ่มบริการก็พลิกจากที่มีขาดทุนมามีกำไรส่วนนี้ จำนวน 1,827 ล้านบาท สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างกลับขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 65 ล้านบาทเป็น 89 ล้านบาท โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาฯขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นเป็น 89 ล้านบาท

กำไรของบจ.ที่เพิ่มขึ้นกว่า 21% สาเหตุหลักมาจากบริษัทในหมวดพลังงานและปิโตรเคมี อาทิ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ที่มีกำไรสุทธิ 13,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น8,474 ล้านบาท หรือพุ่งขึ้น 180% ส่วนหนึ่งมาจากกำไรสต๊อกน้ำมันและ NRV จำนวน 508 ล้านบาท และรับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142% ส่วนรายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้น 33% เป็น 107,149 ล้านบาท โดยบริษัทคาดราคาน้ำมันดิบดูไบในช่วงที่เหลือของปีนี้เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาส 1อยู่ที่ 53.03 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากไตรมาส 4/2559 อยู่ที่ 48.32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ทางด้านความแข็งแกร่งทางการเงิน บริษัทจดทะเบียนมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(ดี/อี)ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 2.88 เท่า เป็น 2.79 เท่า และมีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 43,081 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,862ล้านบาท หรือ 7.11%

สำหรับผลการดำเนินงานของบจ.ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai)มีกำไรสุทธิ 1,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47ล้านบาท เติบโต 4.13% โดยที่มีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.06% เหบือ 23.77%

ก่อนหน้านี้ นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ.ใน mai ดีขึ้น แต่บางธุรกิจเริ่มได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคามากขึ้น

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรของ บจ.ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีการเติบโตในทิศทางเดียวกับช่วงไตรมาส 1/2560 ที่มีการเติบโต 21% โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะยังคงจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน หรือไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์เริ่มฟื้นตัว รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างจะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงในเรื่องของการเมืองและนโยบายด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย แต่ก็มองว่าการลงทุนในหุ้นยังได้ผลตอบแทนที่ดีและน่าสนใจ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,264 วันที่ 25 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560