APCO ประกาศความเป็นเลิศด้านวัตกรรม NIA ยกเป็นนวัตกรรมของชาติ ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ติดเชื้อฉวยโอกาส เดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ รองรับสังคมผู้สูงอายุ เทรนด์การดูแลสุขภาพ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ เดินหน้าประชาสัมพันธ์ช่องทางออนไลน์ต่อเนื่องตั้งเป้าปีหน้าเติบโต 20% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 60 %
ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด(มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัยพัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ประกาศให้งานวิจัยของ APCO เป็น“นวัตกรรมของชาติไทย ในการดูแลผู้มีปัญหาการติดเชื้อ” เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2558
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา งานวิจัยดังกล่าวทำให้ผู้ที่ติดเชื้อหลายพันรายทั้งในและต่างประเทศสามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน (CD4) ซึ่งนับเป็นวิทยาการใหม่ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ และป้องกันเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันของตัวเอง ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวสามารถใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติ
อีกทั้ง คณะนักวิจัย APCO พบว่านอกจากผู้ติดเชื้อ HIV แล้วผลงานวิจัยนี้ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งรักษาให้หายได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง คณะวิจัย APCO จึงจัดทำโครงการยืนยันประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่กำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งมีผู้ป่วยอยู่ 9 ล้านคนในประเทศไทยและ 350 ล้านคนทั่วโลก โดยร่วมกับคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทั้งนี้เชื่อว่าการรับรองผลงานวิจัยจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย
ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนในยุคปัจจุบัน รวมถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยในโรคต่างๆ เป็นโอกาสของ APCO ในการดูแลสุขภาพของคนไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ
ล่าสุดบริษัทเตรียมจัดตั้งโครงการ Balancing Immunity Center (BIC) ศูนย์บริการดูแลสุขภาพของนักท่องเที่ยว โดยเบื้องต้นจะเปิดศูนย์ BIC จำนวน 5 สาขา ประกอบด้วย กรุงเทพฯ 2 สาขาภูเก็ต 1 สาขา ชลบุรี 1 สาขา และเชียงใหม่ 1 สาขา โดยบริษัทเปิดโอกาสให้พันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในศูนย์ BIC ในสัดส่วน 50:50 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนช่วงไตรมาส 1/61 ซึ่งศูนย์ BIC สามารถทำรายได้ต่อเนื่องในช่องทาง Dropship ได้อีกด้วย โดยเชื่อว่ารายได้จาก BIC ในระยะยาวจะส่งเสริมการเติบโตของยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นช่องทางที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเผยแพร่ไปได้กว้างขึ้นในตลาดโลก
ด้าน BIM Health Center ศูนย์ให้คำแนะนำผู้บริโภคสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ OPERATION BIMกระแสการตอบรับดี โดยบริษัทมีแผนเปิด BIM Health Center อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายมากยิ่งขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาสถานที่ที่เหมาะสม และทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้คำปรึกษากับผู้บริโภค เนื่องจากต้องการให้ศูนย์ BIM Health Center เป็นศูนย์กลางในการดูแลสุขภาพผู้ป่วยอาการต่างๆอย่างแท้จริง
ขณะที่กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ช่องทางออนไลน์ มีทิศทางที่ดีตามที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสามารถให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ครบถ้วนชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยมีผู้สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมครบทุกด้าน ทั้งการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย การปรับกลยุทธ์ด้านออนไลน์ ประกอบกับการยกระดับงานวิจัยที่บริษัทได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในปีหน้าหากสถานการณ์ต่างๆกลับสู่ภาวะปกติ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตได้ตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 20% รักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 60%” ศ.ดรพิเชษฐ์ กล่าว