เอเชียกรีนร่วมประมูลวีเอสพีพีภาคใต้ เบนเข็มหนีถ่านหินส่งไปจีนชะลอตัว
เอเชียกรีนเตรียมประมูลขายไฟฟ้าภาคใต้ หลัง กกพ. เปิดรับซื้อเพียง 46 เมกะวัตต์ หวั่นเอกชนแข่งขันรุนแรงกดราคากันเอง ขณะที่ธุรกิจถ่านหินปีนี้ยังรับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำยอดส่งออกลดลง เร่งหาตลาดใหม่เวียดนาม-กัมพูชา ความต้องการใช้ถ่านหินยังโต
นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (วีเอสพีพี) ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี) ในปริมาณกำลังผลิตติดตั้งรวมไม่เกิน 46 เมกะวัตต์ บริษัทก็เตรียมเข้าประมูลเพื่อแข่งขันทางด้านราคา โดยมีโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล ใช้เชื้อเพลิงจากไม้สับ ขนาด 9.9 เมกะวัตต์
โดยพบว่าการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการแข่งขันด้านราคา เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการหลายรายสนใจและเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ เนื่องจากในพื้นที่ภาคใต้นับว่ามีศักยภาพด้านเชื้อเพลิง ซึ่งมีการเพาะปลูกยาง ปาล์ม จำนวนมากที่สามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้ ดังนั้นจึงค่อนข้างกังวลว่าจะเกิดการแข่งขันรุนแรง ปัจจุบันราคารับซื้อฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลมีอัตราให้เงินสนับสนุนตามต้นทุนจริง(ฟีดอินทารีฟ) อยู่ที่ 4.54 บาทต่อหน่วย
"ตอนนี้โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทมีความพร้อมแล้ว เตรียมเข้าร่วมประมูลเพื่อแข่งขันกัน โดยศักยภาพการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จังหวัดสงขลา มีมากกว่าที่ภาครัฐเปิด แต่เชื่อว่าในอนาคตหากสายส่งมีความพร้อมก็จะสามารถเปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามต้นทุนของโรงไฟฟ้าชีวมวลขึ้นอยู่กับราคาวัตถุดิบเป็นหลัก โดยเฉพาะแกลบที่มีราคาแพงขึ้นมาก แต่จะกระทบต่อโรงไฟฟ้าเก่าที่เป็นระบบแอดเดอร์ ส่วนรายใหม่คงไม่กระทบเพราะได้รับค่าไฟต่างกัน ส่วนราคาไม้สับไม่กระทบมากนัก เนื่องจากในภาคใต้ยังมีจำนวนมาก" นายพนม กล่าว
สำหรับธุรกิจถ่านหินในปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวจากปีที่แล้ว แต่ราคาขายอาจลดลงบ้างตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งในปี 2557 ราคาถ่านหินในตลาดโลกอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ปี 2558 อยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และในปีนี้คาดว่าราคาจะทรงตัวหรือปรับลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย แต่บริษัททำธุรกิจเทรดดิ้ง คือซื้อมาขายไป แม้ว่าราคาถ่านหินจะลง บริษัทก็ซื้อขายราคาถูกลงเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบเหมือนเจ้าของเหมืองถ่านหิน แต่ในปีนี้ยอดขายอาจไม่ดีนัก บริษัทจึงหันมาเน้นทำกำไรเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ประกอบกับเศรษฐกิจจีนยังซบเซา ยอดส่งออกถ่านหินไปจีนจึงลดลง จึงต้องปรับยอดขายในจีนลดลง แต่จะหันไปส่งออกในตลาดเอเชียแทน อาทิ เวียดนามและกัมพูชา เนื่องจากยังมีความต้องการใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้น
โดยคาดว่ายอดขายในปี 2559 จะเติบโต 10% จากปีก่อน และจะเน้นการขยายตลาดในประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ยอดขายในต่างประเทศมีการปรับตัวลดลง บริษัทจึงปรับกลยุทธ์ในการขาย ซึ่งจะมีสัดส่วนยอดขายในประเทศ 80-85% และต่างประเทศ 15-20% จากเดิมอยู่ที่ 50% : 50% ขณะที่ในด้านกำไรสุทธิคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน และจะยังคงรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 3% อัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 10% โดยจะเน้นเรื่องการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากคลังสินค้า และการขนส่ง
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก กกพ.เปิดเผยว่า การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในแบบฟีดอินทารีฟ ระยะที่ 1 ได้ออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากวีเอสพีพี ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ปริมาณกำลังผลิตติดตั้งรวมไม่เกิน46 เมกะวัตต์ โดย กกพ. จะคัดเลือกเชื้อเพลิงประเภทก๊าซชีวภาพให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2559 แล้วจึงจะคัดเลือกเชื้อเพลิงชีวมวลต่อไป กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2559
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,126 วันที่ 28 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559