มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หรือ MUFG หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเครือข่ายธนาคารกว่า 300 แห่งทั่วโลก ครอบคลุม 50 ประเทศ และพนักงานกว่า 1.8 แสนคน ซึ่งหากดูงบการเงินจะพบว่า MUFG มีเงินสินเชื่ออยู่ในอันดับ 5 และอันดับ 6 สำหรับเงินฝาก และมีธุรกิจหลากหลาย ทั้งธุรกิจธนาคาร กองทุนทรัสต์ เช่าซื้อ และคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ มีการขยายสินเชื่อข้ามประเทศจำนวนมาก ทำให้มีฐานธุรกิจต่างประเทศกว่า 3,400 ล้านบาท จากการขยายความร่วมมือกับสถาบันการเงินในทวีปต่างๆ ซึ่งในไทยเอง MUFG ได้ลงทุนในธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือด้วยการซื้อหุ้นใหญ่ 76.6%
นายชิโระ ฮอนโจ ผู้บริหารระดับสูงและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวางแผนธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโกลบัล ธนาคาร MUFG เล่าว่า การขยายเครือข่ายระดับสากลของ MUFG ปัจจุบันจะใช้ยุทธศาสตร์ร่วมทุนเพื่อขยายฐานลูกค้า เพราะจะเกิดผลสำเร็จมากขึ้น โดยใช้เม็ดเงินลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสร้างแพลต ฟอร์มในการสร้างการเติบโตธุรกิจต่างประเทศ โดยยังคงมุ่งมั่นขยายธุรกิจในพันธมิตรธนาคารของ MUFG เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจที่มีเร็วขึ้น ทำให้การขยายธุรกิจต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญ
ชิโระ ฮอนโจ
ทั้งนี้ หากดูโครงสร้างกำไรจากบริษัทลูกจะพบว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธุรกิจในสหรัฐฯ สร้างผลกำไรค่อนข้างดี โดยกำไรจากธุรกิจการค้านอกประเทศมีสัดส่วนถึง 40% และในจำนวนดังกล่าวมาจากสหรัฐฯ 50% และอีก 40% มาจากเอเชีย และคาดว่าในอนาคตธุรกิจจากกรุงศรี จากสหรัฐฯ และธนาคารดานามอนที่เพิ่งร่วมทุนไป จะมาเป็น 3 เสาหลักในการขยายธุรกิจและทำกำไรให้กับ MUFG
สำหรับธนาคารกรุงศรีอยุธยานั้น จะเห็นว่ามีผลการดำเนินงานค่อนข้างดี โดยมีอัตราการเติบโตสินเชื่อเพิ่มขึ้น สวนทางกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ที่อยู่ในระดับตํ่า สะท้อนการบริหารจัดการได้อย่างดี เมื่อเทียบกับผลงาน 4 ธนาคารขนาดใหญ่ในไทย ดังนั้นเป้าหมายในอนาคต MUFG ต้องการผลักดันให้เป็นสถาบันการเงินอันดับ 1 ในไทย และเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความน่าเชื่อถือ ซึ่งเบื้องต้นไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 4 แต่เป้าหมายไม่ได้มีเพียงการไต่อันดับ ยังรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วย
ส่วนแนวทางการขยายความร่วมมือนั้น นายชิโระ กล่าวว่า MUFG จะขยายความร่วมมือกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาในการขยายฐานลูกค้าร่วมกันผ่านการจับคู่ธุรกิจ (Business Machicneh)ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 2,000 ราย และขยายฐานลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และลูกค้ารายย่อย ภายใต้การร่วมลงทุนในบริษัท เอสบี ไฟแนนซ์ คอมปานี อิงค์ (SB Finance Company, Inc. หรือ SBF) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทไฟแนนซ์ในประเทศฟิลิปปินส์ โดย MUFG ถือหุ้นในสัดส่วนราว 20% ในซีเคียวริตี้ แบงก์ คอร์ปอเรชั่น และหากดูตามแผนระยะกลางของ MUFG ตั้งแต่ปี 2560-2563 ตัวเลขธุรกิจกลุ่มลูกค้า Globla Commercial Banking มีอัตราการเติบโต 65% และมีสัดส่วนถึง 18% ของกลุ่มลูกค้าทั้งหมดที่มีอยู่ 6 กลุ่มธุรกิจ
“ธุรกิจในต่างประเทศถือเป็นโอกาสการเติบโต เพราะธุรกิจในญี่ปุ่นค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว หากดูงบการเงินสินเชื่อไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงเล็กน้อย เป็นผลมาจากบริษัทเอกชนญี่ปุ่นไม่ค่อยชอบกู้เงิน ทำให้กำไรจากดอกเบี้ยก็ลดลง จะเห็นส่วนต่างดอกเบี้ยลดลงต่อเนื่องจาก 0.84% ลงมาอยู่ที่ 0.81% ซึ่งส่วนทางกับสินเชื่อต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสร้างกำไรมากกว่า 40% เราจึงต้องการขยายธุรกิจในเอเชียและสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะกรุงศรี ที่มีผลงานโดดเด่นค่อนข้างมาก”
ขณะที่นายเอกวีร์ วิศิษฏสุนทร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายการตลาดองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หลังจากร่วมมือกับ MUFG จะเห็นตัวเลขการเติบโตต่อเนื่อง โดยสินทรัพย์เพิ่มจาก 1 ล้านล้านบาท เป็น 2 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น80% และเป็นผู้นำด้านรายย่อย โดยมีสัดส่วนลูกค้ารายย่อย 49% ลูกค้าขนาดใหญ่ 29% และเอสเอ็มอี 22% แต่ปัจจุบันฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่เป็นญี่ปุ่น 13% ซึ่งโดยเฉลี่ย 70-75% มีบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยาและ 40% ใช้กรุงศรีเป็นธนาคารหลักสะท้อนธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น ตลอดจนการจับคู่ธุรกิจกับลูกค้าไทย-ญี่ปุ่นมากขึ้น
หน้า 19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,520 วันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2562