หลังทำธุรกิจในสปป.ลาวมา 30 ปี วันนี้ JDB Bank เดินเกมรุกเต็มรูปแบบ ด้วยยุทธศาสตร์ขยายตลาดลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ประเดิมไทยเป็นประเทศแรก ด้วยการเปิดตัวInvestment Center เพื่อเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาทางการเงินกับนักลงทุนแบบครบวงจร ทั้งนักลงทุนไทยที่ต้องการลงทุนในสปป.ลาว และนักลงทุนลาวที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย
นายเอกกะพัน พะพิทัก ประธานสภาบริหาร Joint Development Bank (JDB Bank) เปิดเผยว่า เรามองว่า ศักยภาพการลงทุนของไทยยังดี มีกำลังซื้อด้านการลงทุนที่ดี ประกอบกับกลุ่มลูกค้าคนไทยค่อนข้างมีศักยภาพ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจของตลาดทุนของ 2 ประเทศด้วย โดยสำนักงาน JDB Representative Office ในกรุงเทพฯจะให้บริการในรูปแบบ Private Banking คือ ให้คำปรึกษากับนักธุรกิจไทยที่อยากลงทุนหรือทำธุรกิจในสปป.ลาว โดยตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางประสานงานให้นักธุรกิจได้พบปะเชื่อมสัมพันธ์ เพื่อนำไปสู่การเป็นพันธมิตรทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศให้ยั่งยืนและมั่นคง
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของศูนย์ที่ไทย จะมุ่งเจาะตลาด SMEs และที่อยากแนะนำคือ ธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ทัวร์ หรือการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวใน สปป.ลาว เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจอันดับ 1 ของสปป.ลาว หรือสินค้าเกี่ยวกับอุปโภคบริโภค ขณะเดียวกันเรายังเป็นธนาคารใหญ่ในลาว มีฐานข้อมูลของลูกค้าและธุรกิจในสปป.ลาว ดังนั้นหากนักลงทุนไทยสนใจ สามารถให้คำแนะนำจนไปสู่การจับคู่ทางธุรกิจของไทยกับธุรกิจทางลาวให้เติบโตก้าวหน้าได้ในอนาคต และเรายังได้ลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เพื่อขับเคลื่อนการค้าการลงทุนไทย-สปป.ลาว โดย EXIM Bank อาจปล่อย Syndicated Loans เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนได้มีทางเลือก
เอกกะพัน พะพิทัก
“ต้องการจะให้ศูนย์นี้เป็น Investment Center ให้กับนักลงทุน ทั้งไทยและลาว ก็จะสามารถมาหาเราเพื่อขอคำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายต่างๆ ที่สปป.ลาว หรือการจัดตั้งบริษัท เรื่องภาษี การตรวจสอบบัญชีต่างๆ ที่นี่จะให้บริการแบบครบวงจร และยังให้ Banking Facilities ได้ด้วยคือ เรามองว่าถ้านักลงทุนมาที่นี่ จะได้ข้อมูลครบถ้วน ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศให้ยั่งยืนและมั่นคง ส่วนในอาเชียนจะขยายการลงทุนไปในกัมพูชา เวียดนาม เมียนมา หรืออาจไปถึงอินโดนีเซีย โดยอาจไปตั้งสำนักงานผู้แทน (Representative Office) ในประเทศต่างๆ”
“เอกกะพัน” เล่าว่า เดิมธนาคารชื่อ ธนาคารร่วมพัฒนา เป็นธนาคารร่วม 2 ประเทศระหว่างนักธุรกิจคนไทยคือ คุณหญิงสุวรรณี สิงห์สมบุญ พัวไพโรจน์ ซึ่งได้ใบอนุญาตจัดตั้งเมื่อปี 2532 และธนาคารแห่งสปป.ลาว ต่อมาปี 2556 ตนได้เข้าบริหารและถือหุ้น 100% จึงเปลี่ยนชื่อเป็น“JDB Bank” เพื่อให้ทันสมัยและสากลมากขึ้น โดยเริ่มจากทุนจดทะเบียน 40 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 50 ล้านดอลลาร์ มีการพัฒนาระบบไอที Core-banking ระบบ Oracle (การจัดการฐานข้อมูล) ระบบบัตร (UnionPay Visa)ให้ทันสมัยได้มาตรฐานสากล เพื่อทัดเทียมในอาเซียน
ขณะเดียวกันยังพัฒนาปรับปรุงในเรื่องของบุคคล จัดการฝึกอบรม เสริมระบบไอทีเข้ามาและเพิ่มสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอนนี้มี 60 หน่วยบริการแล้วทั่วสปป.ลาว ทำให้ทรัพย์สินจากที่มีอยู่ 50 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็นกว่า 500 ล้านดอลลาร์ เป็นการขยายตัวอย่างเข้มแข็ง มีการบริการแบบสากล ว่องไว ทันสมัย โดยมีธนาคาร UOB สิงคโปร์ เป็น Correspondent Bank เกี่ยวกับธุรกรรมการโอนเงินต่างประเทศจาก สปป.ลาว ไปยังประเทศอื่นๆ ส่วนการโอนเงินระหว่างไทยกับสปป.ลาว เราได้ทำ Correspondent Bank กับธนาคารกรุงเทพและกสิกรไทย มาร่วมเป็นพันธมิตร
“ปัจจุบันเราเป็นธนาคารชั้นนำอันดับต้นที่โดดเด่นเรื่องบริการครบวงจร ได้รับความน่าเชื่อถือและไว้ใจในสังคมลาว ทำให้เราอยู่มาได้ถึง 30 ปี ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 100% เพราะคิดว่าจะทำให้มันก้าวกระโดดจึงต้องมีเป้าหมายเป็นที่ตั้งและต้องทำให้ได้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปีหน้ายังมีแผนเพิ่มลงทุนหรือระดมทุนอีก 200 ล้านดอลลาร์ เพื่อปล่อยสินเชื่อและเพิ่มทุนตามนโยบายแบงก์ชาติ โดยหาแหล่งทุนมาเพิ่ม เพื่ออัดฉีดเข้าไปในโครงการของรัฐบาล”
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,553 วันที่ 1-4 มีนาคม 2563