ท่ามกลางทิศทาง ดอกเบี้ยขาลง และทรงตัวในระดับต่ำ หลังการประชุมล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่มีมีติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.00-0.25% พร้อมส่งสัญญาณว่า จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปจนถึงปี 2565 และยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ในปีนี้
นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการ ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวเฉลี่ย 1,418 จุดถือว่า อยู่ในจุดที่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดของปีที่ 1,748.15 จุด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.50% ต่อปี
ดังนั้นจึงถือเป็นจังหวะที่ดีในการหาโอกาสเข้าลงทุนใน “กองทุนรวมเพื่อการออม ชนิดเพื่อการออมพิเศษหรือ Super Savings Fund Extra : SSFX” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท โดยมีกำหนดถือลงทุนไม่น้อยกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ซึ่งจะลงทุนได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ซึ่งปัจจุบัน “กองทุนเพื่อการออมพิเศษ” มีให้เลือกหลายประเภท เช่น
1.กองทุนประเภทแบ่งตามสัดส่วนของการลงทุน โดยแบ่งออกเป็นลงทุนในหุ้นไทยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์,ลงทุนหุ้นไทยไม่เกิน 70% และลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset allocation) โดยจะเน้นลงทุนหุ้นไทยเกิน 65% ซึ่งการลงทุนลักษณะนี้จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้เป็นอย่างดี
2.กองทุนประเภทแบ่งตามการบริหารพอร์ต ทั้งแบบ “กองทุนเชิงรุก (Active Fund)” และ “กองทุนเชิงรับ” (Passive Fund) โดย “กองทุนเชิงรุก”จะเน้นคัดเลือกหุ้นที่คาดว่า จะมีผลงานที่ดีกว่าตลาดเข้ามาอยู่ในพอร์ตลงทุน ส่วน “กองทุนเชิงรับ” จะเน้นลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น SET,SET100 หรือ SET50 เป็นต้น ซึ่งข้อดีของกองทุนเชิงรับที่ลงทุนตามดัชนีต่างๆ คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนถูกกว่ากองทุนเชิงรุก
3.กองทุนประเภท จ่ายเงินปันผล หรือไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับจุดเด่นของกองทุนแบบมีปันผล คือ หากระหว่างทางกองทุนบริหารแล้วมีกำไร ก็จะแบ่งกำไรออกมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุน ส่วนข้อเสีย คือ ต้องเสียภาษีเงินปันผล โดยจะหัก ณ ที่จ่าย และเงินลงทุนของเราก็จะลดลง ฉะนั้นหากผู้ลงทุนท่านใดต้องการได้รับผลตอบแทนและเงินลงทุน แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ไม่ควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีเงินปันผล
“การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังไม่จบ ทำให้ผู้ลงทุนบางรายมองว่า ดัชนีหุ้นไทยตอนนี้ค่อนข้างแพง แต่เรามองว่า ตลาดหุ้นระดับนี้ ถือว่าน่าสนใจ หากต้องการถือลงทุนระยะยาว 10 ปี ยิ่งมองย้อนกลับไปในอดีตจะเห็นว่า ผู้ลงทุนที่ถือลงทุนระยะยาวในหุ้น SET50 มาตั้งแต่ปี 2552 หลังวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ ปัจจุบันได้รับผลตอบแทนแล้วเฉลี่ย 8-9% ต่อปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆเช่น ตราสารหนี้และเงินฝาก ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 0.25-0.50%”นายเสริมศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวน แต่หากมองการลงทุนในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า เชื่อว่า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน ดังนั้นการลงทุนใน“กองทุน SSFX” เพื่อรับผลประโยชน์ทางภาษีในช่วงนี้ เหมือนซื้อลงทุนแบบมีส่วนลด
ทั้งนี้หลักทรัพย์บัวหลวง แนะนำลงทุนในกองทุนประเภทเน้นลงทุนใน “หุ้นขนาดใหญ่” เช่น กองทุน KFS100SSFX ที่ลงทุนตามดัชนี SET100 (มีเงินปันผล) และกองทุน PHATRA SET50ESG-SSFX ที่ลงทุนตามดัชนี SET50 ESG (ไม่มีเงินปันผล) ซึ่งทั้ง 2 กองทุนมีจุดเด่นอยู่ที่มีค่าธรรมเนียมการบริหารค่อนข้างต่ำ
ขณะเดียวกันยังแนะนำลงทุนในกองทุนประเภท “กองทุนรวมผสม” ที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงของการลงทุนได้เป็นอย่างดี เช่น กองทุน MTF-SSFX ที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และเน้นกระจายการลงทุนในหุ้น ,ตราสารหนี้ และหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs)