บล.ไทยพาณิชย์ แนะลงทุนช่วงต.ค.รับข่าว"วัคซีนโควิด" 

26 ส.ค. 2563 | 10:43 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ส.ค. 2563 | 10:44 น.

บล.ไทยพาณิชย์ แนะกลยุทธ์ลงทุน เก็งกำไรช่วงเดือนตุลาคม รับข่าว"วัคซีนโควิด" มองหุ้นไทยมีโอกาสลงแตะ 1270-1280 จุด ปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจ การกลับมาโควิดรอบสอง ส่งผลต่อผลประกอบการบจ. คาด EPS ปี 63 ที่ 58 บาท

26 ส.ค. 63  นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด  กล่าวในเสวนา “หุ้นเด็ดโค้งท้ายปี” จัดโดยหนังสือพิมพ์  "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าหุ้นไทยในช่วงที่เหลือยังมีดาวน์ไซด์จากเสถียรภาพของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)จากปัจจัยเสี่ยง ผลกระทบของเศรษฐกิจและไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง   ประเมินดัชนี SET ยังมีโอกาสลงแตะ 1270 - 1280 จุด  และอัพไซด์ที่ระดับ 1400 จุด ในขณะที่ EPS ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 58 บาทต่อหุ้น  ( EPS ปี 62 ที่ระดับ 87บาท ) และปี 64 ที่ 76 บาท 

 

 

สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์

 

"ตอนนี้ ดัชนีหุ้นแทบไม่มีความหมาย ให้ดูเป็นเซ็กเตอร์และรายตัว  ผลประกอบการบจ.ยังไม่เสถียร จะเห็นว่ากำไรบจ.ในไตรมาส 2/63 บางตัวลดลงมาแรงถึง 80% แต่บางตัวที่เป็นธุรกิจ Defensive ลดลงแค่ 20%  และมองในภาพรวมยังให้น้ำหนัก "ลง" เพราะเซ็กเตอร์หลักๆยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และโควิด แม้การล็อกดาวน์รอบสองจะไม่แรงเท่ารอบแรก แต่การใช้จ่ายในประเทศยังไม่กลับไปเหมือนเดิม ตัวเลขเศรษฐกิจหรือผลประกอบการ ยังฟื้นตัวเป็น U - shape  " 

 

ดังนั้นดัชนีจึงโอกาสดาวน์ไซด์ต่ำกว่า 1300 จุด  และอัพไซด์ระดับ 1400 จุด ตัวช่วยยังเป็นเรื่องสภาพคล่อง  ส่วนสาเหตุที่หุ้นไทยในรอบนี้ปรับขึ้นมาเร็ว เพราะมีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ  การลดดอกเบี้ย และการอัดฉีดเม็ดเงิน 

 

อย่างไรก็ดีจากการประชุมเฟดที่ผ่านมา เริ่มส่งสัญญาณว่าจะหยุดการผ่อนคลาย ทำให้อัพไซด์ที่จะขึ้นจากมาตรการทางการเงินเริ่มมีข้อจำกัด ทั้งจากผลประกอบการของบจ. รวมถึงความล่าช้าของการใช้มาตรการการคลัง

 

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

งานเสวนา “หุ้นเด็ดโค้งท้ายปี” จัดโดยหนังสือพิมพ์  "ฐานเศรษฐกิจ"  เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา

 

 

นายสุกิจ แนะกลยุทธ์การลงทุนให้ซื้อเข้าพอร์ตในระดับดัชนี 1300 จุด ในสัดส่วน 75% แต่หากดัชนีปรับขึ้น 1400 จุด ให้ลดพอร์ต์เหลือ 50% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด รองรับไตรมาส 4/63 ที่อาจเกิดความผันผวนได้ 

 

จังหวะที่เข้าเก็งกำไร คือในช่วงเดือนตุลาคม รับข่าวดีจากความสำเร็จการผลิต"วัคซีนโควิด" ทั่วโลก  แต่หลังเดือนตุลาคมถึงช่วงปีใหม่ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมือง การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึง  

 

การลงทุนให้เลือกเป็นรายเซ็กเตอร์รายหุ้นที่มีสัญญาณการฟื้นตัว  เป็นหุ้นที่ปลอดภัย Defensive  เน้น Domestic play  ราคายังไม่แพงมาก  และไม่เพียงให้น้ำหนักเรื่องผลประกอบการ ยังต้องดูในเรื่องนโยบายการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท เพราะรายจ่ายที่ลดก็คือ "กำไร" ที่กลับเข้ามานั่นเอง โดยผลประกอบการไตรมาส 2 พบว่าค่าใช้จ่ายลดลงถึง 20% พอ ๆกับรายได้ คาดว่าในไตรมาส 3-4 จะเห็นหลายบริษัทปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อผลประกอบการบจ.ในช่วงที่เหลือ

 

"ช่วงเดือนตุลาคม จะเป็นเวลาที่เหมาะต่อการเก็งกำไรในหุ้น  รับข่าวเรื่องของวัคซีนโควิด  แต่หลังจากนั้นตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเรื่อง การเมือง การเลือกตั้งในสหรัฐที่เป็นตัวกดดันตลาด " กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ ย้ำ

 

5 หุ้นเด่นที่แนะนำได้แก่

 

1. เซ็กเตอร์อาหาร  เลือกหุ้นบมจ.จีเอฟพีที ( GFPT) จากราคาไก่ที่มีแนวโน้มแพงขึ้น  บริษัทมีการขยายกำลังการผลิตที่จะเข้ามาเป็นปีหน้า และกำไรอยู่ในช่วงขาขึ้น  ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยส่วนนี้มากนัก 

 

2. ธุรกิจโรงพยาบาล เลือกหุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) ผลประกอบการบริษัท ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 มาแล้ว  และมีฐานลูกค้าไทย-ประกันสังคมมาก รวมทั้งลูกค้าในกลุ่ม CLMV 

 

3. บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ( BEM ) จากการปลดล็อกเรื่อง Social distancing การฟื้นตัวของรายได้ในช่วงที่เหลือของปี

 

4. หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลงค่อนข้างแรง เลือก บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่  (GPSC) เป็นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโต  ราคาอยู่ในระดับน่าสนใจ 

 

5.หุ้นตัวเล็ก เลือกหุ้นบมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE ) ทำธุรกิจโลจิติกส์ครบวงจร ( ทางเรือ ,ทางอากาศ และทางบก ) และทำธุรกิจในจีนซึ่งไม่มีผลกระทบด้านโควิดขณะที่เศรษฐกิจจีนยังเติบโต  นอกจากนี้ผลประกอบการ 2  ไตรมาสแรกของบริษัทก็เพิ่มขึ้น