ธปท.ปรับสูตรคลินิกแก้หนี้ ขยายเวลาเลื่อนชำระหนี้ออกไปอีก 9 เดือนถึงมิ.ย.64 แต่หากยังจ่ายไหว จะได้ลดอกเบี้ยเพิ่มอีก 1-2% จากเดิมที่ลดให้ 2% ชี้นำไปตัดเงินต้น ช่วยลดหนี้ให้หมดเร็วขึ้น
นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการคลินิกแก้หนี้ ได้ประชุมเพื่อประเมินผลมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เรียกว่า“ยา 2 สูตร”คือ การลดดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ ซึ่งได้ดำเนินการใน 6 เดือนที่ผ่านมา (เม.ย.- ก.ย. 2563)พบว่า ผลที่ออกมาโดยรวมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มที่ไม่แจ่มใสนักและมีความไม่แน่นอนอยู่มาก คณะกรรมการฯ จึงขยายมาตรการช่วยเหลือออกไปอีก 9 เดือนจนถึงเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกหนี้ในช่วงที่ยากลำบาก
ทั้งนี้ได้ปรับปรุงแนวทางการช่วยเหลือให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบที่จะมีต่อความสามารถชำระหนี้ของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด โดยลูกหนี้ที่เลือกเลื่อนกำหนดชำระหนี้ 6 เดือน จะไม่ถูกนับว่าผิดนัดชำระหนี้หรือเสียประวัติ หรือ ยาสูตรที่1 มีเพียง 6% เท่านั้น ซึ่งสำหรับคนที่ยังจ่ายไม่ไหว จะเลื่อนกำหนดชำระออกไปจนถึงมิถุนายน 2564
ทั้งนี้ลูกนี้ต้องลงทะเบียน เพื่อขอใช้สิทธิตามมาตรการนี้ (opt in) จากเดิมให้สิทธิแก่ลูกหนี้ทุกรายเป็นการทั่วไป โดยสามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ได้ง่ายๆ เพียงเข้าไปในเวปไซค์ www.คลินิกแก้หนี้.com และกรอกข้อมูลแสดงความจำนงผ่านเข้ามา
สำหรับลูกหนี้ที่เลือกจ่ายเท่าที่ไหว หรือ ยาสูตรที่ 2 นั้น จะลดดอกเบี้ยให้ 2% เพื่อลดภาระให้กับลูกหนี้ โดยพบว่า ลูกหนี้ที่ยังคงชำระค่างวดเข้ามาต่อเนื่องสูงถึง 94% ซึ่งประกอบด้วยลูกหนี้ที่ชำระหนี้เข้ามาครบค่างวดทั้งหมด 74% ในขณะที่ลูกหนี้ 20% ชำระหนี้ได้บางส่วน โดยจำนวนเงินต่ำสุดที่ชำระเข้ามา คือ 100 บาท ซึ่งกลุ่มนี้ หากยังชำระเข้ามาต่อเนื่องจะได้ลดดอกเบี้ยเพิ่ม 1-2%
ลูกหนี้กลุ่มที่ 2 จะแบ่ง เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ยมากกว่า 80% ในช่วง 9 เดือนข้างหน้าจะได้รับการลดดอกเบี้ย 2% ส่วนกลุ่มที่จ่ายค่างวดเฉลี่ย 40-79.99% ในช่วง 9 เดือนข้างหน้า จะได้รับการลดดอกเบี้ย 1% โดยดอกเบี้ยที่ลดให้ลูกหนี้ในโครงการเพิ่มเติมจะถูกนำไปตัดเงินต้น ซึ่งจะทำให้ยอดหนี้ทั้งหมดลดลงเร็วขึ้นด้วย
“แม้โครงการกำหนดให้เป็นสิทธิสำหรับลูกหนี้ทุกรายที่จะเลื่อนกำหนดชำระหนี้ ซึ่งผลที่ออกมาชี้ว่า การลดดอกเบี้ย2% ถือเป็นแรงจูงใจสำคัญ ที่ทำให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพไม่เลือกที่จะพักชำระหนี้ และยังคงชำระค่างวดเข้ามาตามปกติ”
ขณะที่ประชาชนที่มีหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ที่สมัครเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ในช่วงนี้จนถึงมิถุนายน 2564 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 1-2 % จากโครงการเช่นเดียวกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจริงอยู่ที่ 2-3% ถือว่าผ่อนปรนมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดทั่วไป
ส่วนความคืบหน้าของโครงการคลินิกแก้หนี้ ณ เดือน กันยายน 2563 สามารถช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้วกว่า 24,000 ใบ ครอบคลุมลูกหนี้กว่า 8,300 ราย ซึ่งมีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 3 ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 240,000 บาท และขณะนี้มีลูกหนี้ที่รอลงนามในสัญญาอีกกว่า 900 ราย และอีก 1,200 ราย อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจเช็คข้อมูลกับสถาบันการเงิน คาดว่าในปี 2563 ตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการสะสมจะเกิน 10,000 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"อาคม" ยันแบงก์รัฐพร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ 6.57 ล้านรายหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้
ลุ้นแบงก์ชาติ ขยายเวลาพักชำระหนี้
“คลินิกแก้หนี้” กับ 10 คำถามยอดฮิต
"คลินิกแก้หนี้" อัดยา2ขนานช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤติโควิด -19