นายภาณุพล รัตนกาญจนภัทร ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย(ยสท.) เปิดเผยว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบในหลักการให้การยสท. เดินหน้าผลิตผลิตภัณฑ์จากกัญชา และกัญชงในเชิงพาณิชย์แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการทำหนังสือให้กระทรวงการคลังเห็นชอบอย่างทางการ ก่อนเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ซึ่งหากเห็นชอบร่วมกัน ยสท.จะเริ่มปลูกได้ภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ และจากนั้นจะสามารถผลิตสินค้าเกี่ยวกับกัญชา และกัญชงออกมาจำหน่ายได้ภายในปลายปี 2564 ในรูปแบบผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา และผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น คอนโซลรถยนต์
“ถ้ามีการทำผลิตภัณฑ์กัญชา และกัญชงออกมาช่วยเพิ่มรายได้แก่องค์กร ภาครัฐ และชาวไร่ได้สูงขึ้นมาก ซึ่งจากการศึกษาพบว่าหากปลูกใบยาสูบ 1 ไร่ เกษตรจะมีรายได้ 23,000 บาท แต่ถ้าปลูกกัญชาจะมีรายได้ถึง 2.5-5 แสนบาท ซึ่งในส่วนของยสท.ก็มีความพร้อมเต็มที่ เพราะมีทั้งพื้นที่ เครือข่ายชาวไร่ โรงงานผลิต สถาบันวิจัย และเทคโนโลยีที่สามารถรองรับและควบคุมได้ รวมถึงพร้อมลงนามความร่วมมือเพื่อศึกษาการต่อยอดผลิตภัณฑ์กัญชงและกัญชาในเชิงพาณิชย์ทันที หากได้รับไฟเขียวมา”นายภาณุพล กล่าว
ส่วนการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่นั้น ยสท.จะสรุปให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาได้ในสิ้นปีนี้ โดยยืนยันว่าหากรัฐปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่ซองไม่เกิน 60 บาท จาก 20% เป็น 40% จริง จะทำให้การยสท.ต้องปิดกิจการลง จึงเห็นว่าไม่ควรปรับขึ้น ซึ่งการปรับโครงสร้างใหม่จะต้องให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งผู้ผลิต เกษตรกร ผู้ค้า หน่วยงานภาครัฐต้องอยู่ได้ เพราะที่ผ่านมาได้มีการพิสูจน์แล้วว่าการขึ้นภาษีฯ ทีทำให้ราคาบุหรี่สูงขึ้น ไม่ได้ทำให้ผู้สูบลดลง แถมยังมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้การยาสูบฯจะปรับปรุงแผนการตลาดใหม่เพื่อหารายได้ โดยศึกษาทำบุหรี่ระดับพรีเมี่ยมเพื่อส่งออกไปขายต่างประเทศ รวมถึงผลิตบุหรี่ราคาถูกกว่า 60 บาทมาจำหน่ายในประเทศเพิ่ม ตลอดจนนำที่ดินของการยสท.ที่มีทำเลดี เช่น เชียงใหม่ เชียงราย หนองคาย 17 แปลงออกมาประมูล โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 64 การยาสูบฯ จะมีกำไร 900-1,200 ล้านบาท เพิ่มจากปีนี้เล็กน้อย และมียอดขายบุหรี่ 18,000 ล้านมวน