นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยว่า จากการสำรวจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.)ไตรมาส 3/63 พบว่า บจ.มีกำไรสุทธิรวม 1.47 แสนล้านบาท ลดลงมากถึง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่ยังฟื้นตัวได้ 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังรัฐบาลผ่อนคลายการล็อกดาวน์ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ประกาศออกมากับประมาณการของตลาด 166 บริษัท ผลประกอบการบจ.ดีกว่าคาด 6% โดยมีสัดส่วนบริษัทที่มีงบดีกว่าคาด 52% งบออกมาตามคาด 20% และแย่กว่าคาด 28% ด้วยงบไตรมาส 3/63 ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด และแนวโน้มการหั่นประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมล่าสุดเริ่มทรงตัวแล้ว
ดังัน้นจึงประเมินว่า ในอนาคตนักวิเคราะห์ในตลาดมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรบจ.ได้จาก 3 ปัจจัยบวกคือ 1. ตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 3/63 หดตัวเพียง 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ บล.ทิสโก้คาดว่าจะติดลบ 10% และดีกว่าที่ตลาดคาดที่ติดลบ 8.8% ตามลำดับ ประกอบกับสัญญาณการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการค้าโลก คาดจะทำให้ตลาดมีการทยอยปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจขึ้น
2.ความชัดเจนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ “ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งตามที่ประเมินไว้ ด้วยนโยบายต่างประเทศที่ประนีประนอมกว่า “ทรัมป์” น่าจะเป็นผลดีต่อการค้าและเศรษฐกิจโลก และ 3 . ความหวังวัคซีนที่ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งของ Pfizer และ Moderna โดยหากได้รับการอนุมัติ จะช่วยหนุนภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจปีหน้าได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะไทยที่มีความอ่อนไหวกับภาคต่างประเทศค่อนข้างสูง
“บล.ทิสโก้ มองว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจและกำไรขึ้นจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปีหน้า โดยยังคงเป้าหมาย SET Index ปีหน้าที่ 1,500 จุด อิงจาก ระดับ Fwd. PER ระยะยาวในอดีตที่ 16 เท่า หรือมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) ประมาณ 10% จากระดับราคาหุ้นปัจจุบัน”
อย่างไรก็ตามบล.ทิสโก้ยังคงเป้าหมาย SET Index ปีนี้ไว้ที่ 1,370 จุด ใกล้เคียงกับผลสำรวจความเห็นของ IAA เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีเฉลี่ยที่ 1,347 จุด แสดงถึงโอกาสการปรับขึ้นในระยะสั้นเริ่มมีอย่างจำกัดแล้ว ประกอบกับแพร่ระบาด COVID-19 ในสหรัฐฯที่ยังรุนแรงอยู่ และรัฐบาลท้องถิ่นในสหรัฐฯออกคำสั่งเพิ่มมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดขึ้น
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนหาจังหวะขายล็อกกำไรช่วงราคาหุ้นปรับขึ้น รอย่อตัวซื้อคืน เพราะมองว่า โอกาสการปรับขึ้นสำหรับการลงทุนระยะสั้นเริ่มจำกัด แม้ว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า หลังมีความชัดเจนเลือกตั้งสหรัฐฯและการคิดค้นวัคซีนได้สำเร็จ และมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องในปีหน้า แต่แรงซื้อต่างชาติในตลาดหุ้นไทย อาจขาดความต่อเนื่อง จากปัจจัยถ่วงด้านการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการชุมนุมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คาดว่าจะยืดเยื้ออีกเป็นปีและยังมีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นที่บล.ทิสโก้คาดว่า จะเป็นเป้าหมายรับเงินทุนไหลเข้ารอบนี้ นอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ควรมีคุณสมบัติ 3 ประการคือ 1.“Underperform” โดยราคาหุ้นปีนี้ต้องปรับตัวลงมามากกว่าดัชนีหุ้นไทยที่ -15% และปัจจุบันยังขึ้นน้อยอยู่ 2. “Underowned” ต้องเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงมากจากปีที่แล้วและปัจจุบันยังคงถือครองหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ 3. “Undervalued” หุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสมที่บล.ทิสโก้ประเมินไว้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบหุ้นทั้งหมด หุ้นที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายครบทุกข้อและบล.ทิสโก้แนะนำ แบ่งออกเป็นกลุ่ม BANK ได้แก่ BBL และ KKP กลุ่ม ENERG ได้แก่ EGCO, GPSC และ RATCH กลุ่ม PROP ได้แก่ CPN และ LH กลุ่ม TRANS ได้แก่ BEM, BTS และ อื่นๆ ได้แก่ BDMS
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ยังมีมุมมองเป็นบวกกับหุ้นที่กำไรดีกว่าคาด และตลาดมีโอกาสปรับประมาณการขึ้น โดยมีหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ คือ ACE, FPT, GUNKUL, III, JMART, SF และ TFG และเก็งกำไรหุ้นเข้าดัชนีต่างๆ สำหรับหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้า SET50 บล.ทิสโก้มีมุมมองเป็นบวกกับหุ้น BAM ส่วนหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้า SET100 บล.ทิสโก้มีมุมมองเป็นบวกับ หุ้น DCC, หุ้นที่มีโอกาสเข้าดัชนี MSCI Global Standard แนะนำ STGT และหุ้นที่มีโอกาสย้ายเข้า ดัชนีMSCI Small Cap แนะนำ RBF
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ก.ล.ต. – ตลท. ชู ESG หนุนบจ.เปิดเผยข้อมูล
คะแนนประเมิน CG บจ.ไทย สูงสุดในรอบ 20 ปี
ตลท.ประกาศรายชื่อ 124 หุ้นยั่งยืน ปี 2563