นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วัคซีน 3 เข็มที่อยากให้ไทยฉีด คือ วัคซีนแก้รัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่คอยฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แนะควรคุยกัน โดยสิ่งที่ต้องมี คือ ความจริงใจจากทุกฝ่าย ฝั่งเรียกร้องก็ต้องเรียกร้องภายใต้ความเหมาะสมและภายใต้วัฒนธรรมไทย เป็นข้อเรียกร้องที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ชี้สิ่งที่อยากเห็นคือ สว.250 คนไม่ควรมีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรี โดยไทยควรเป็นประชาธิปไตยตามหลักสากล
วัคซีนเข็มที่ 2 คือ รัฐบาลควรเปิดให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะยี่ห้อที่ผ่านการอนุมัติจากไทยแล้ว เพราะไทยจำเป็นต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากต่างชาติ คนไทยจึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว เพราะหากรอให้รัฐฉีดวัคซีน และรอเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 4 อาจไม่มีใครรอไหว ทั้งนี้การนำเข้าวัคซีนของเอกชนไม่ใช่เรื่องที่ขัดกฎหมาย ดังนั้นควรให้เอกชนเข้าไปช่วยกระจายวัคซีน
และวัคซีนเข็มที่ 3 คือ การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ด้วยวิธีลดรายจ่าย โดยเฉพาะ SME ในภาคท่องเที่ยวที่รัฐบาลต้องเยียวยา เช่นที่อังกฤษ รัฐบาลจ่ายชดเชยให้ 70% ของเงินเดือนพนักงาน เพื่อให้คงการจ้างงานต่อ รวมทั้งการพักชำระหนี้ แม้อาจกระทบต่อรายได้ของภาคธนาคาร แต่มองว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
“รัฐมนตรีคลังกล่าวว่าฐานะการคลังของเรายังแข็งแกร่ง ยังกู้เงินได้อีก ก็ควรจะทำ เพราะไทยยังต้องการการเยียวยา สิ่งที่รัฐต้องทำคือ อัดฉีดเงินลงไปและพักชำระหนี้ แต่การพักชำระหนี้ต้องดูความเหมาะสมเป็นรายๆไป” เศรษฐา กล่าว
พร้อมเสนอแนะ รัฐบาลขยายสิทธิ์ในการถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทยของชาวต่างชาติ เช่น การปรับแก้กฎหมายให้ต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในกลุ่มคอนโดมิเนียมได้มากกว่า 49% หรือ การมีสิทธิ์ในการซื้อบ้านที่ดิน และโดยเฉพาะช่วงนี้ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด ไทยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านสาธารณสุข ทำให้ต่างชาติยิ่งอยากเข้ามาอยู่ไทยในระยะยาวขึ้น และต่างชาติชอบมาพักอาศัยอยู่ในไทยเพื่อหนีฤดูหนาว โดยจะพักในไทยประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามมาอีกมาก