นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในปี 64 ยังคงเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% หรือประมาณ 5.5 พันล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 5 พันล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการลงทุนทำโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี (EEC)
ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่าง SPCG กับบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA ENCOM) ในเครือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จัดตั้งบริษัท เซท เอนเนอยี จำกัด โดยเริ่มทยอยกำลังผลิตเฟสแรกที่ 300 เมกะวัตต์ และเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะรับรู้รายได้ทันที บริษัทจึงตั้งเป้ากำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ ในปี 2568 ประกอบกับปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตรวมโครงการโซลาร์ฟาร์ม 36 โครงการอยู่ที่ 385 ล้านหน่วย รวมทั้งในปีนี้บริษัทยังบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพและขยายโครงการลงทุนใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับผลดำเนินงานของบริษัท นับตั้งแต่ปี 59 มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 59 มีรายได้รวม 5.54 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.61 พันล้านบาท ,ปี 60 มีรายได้รวม 6.12 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.82 พันล้านบาท ,ปี 61 มีรายได้รวม 6.04 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2.92 พันล้านบาท ,ปี 62 มีรายได้รวม 5.32 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3.01 พันล้านบาท และปี 63 มีรายได้รวม 5.04 พันล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3.06 พันล้านบาท
นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.เอสพีซีจี กล่าวว่า รายได้ปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการโซลาร์ฟาร์มใน EEC เฟสแรก ซึ่งผลตอบแทนการลงทุนโครงการดังกล่าวมากกว่า 10% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 200 เมกะวัตต์ คาดจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ได้ในปี 65 โดยหากโครงการโซลาร์ฟาร์มใน EEC ดำเนินการครบ 500 เมกะวัตต์ จะสร้างรายได้ประมาณ 2.5 พันล้านบาท สามารถเข้ามาทดแทนโซลาร์ฟาร์มบางแห่ง ที่ทยอยหมด Adder ตั้งแต่ปี 64-67
สำหรับ บมจ.เอสพีซีจี มีรายได้มาจาก 2 ธุรกิจหลักคือ 1.ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm 36 โครงการ) รวมกำลังการผลิต 260 เมกะวัตต์ และยังมีโครงการที่ญี่ปุ่นอีก 2 แห่ง มีความคืบหน้ามาก โดยเฉพาะโครงการ Tottori Yonago Mega Solar Power Plant กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ได้ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2018 และบริษัทได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลไปแล้ว 3 งวด หรือ 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี และมั่นใจว่าปีนี้ยังคงได้รับผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องต่อไป
ด้านโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ SPCG ถือหุ้น 17.92% เป็นโครงการขนาดใหญ่และเป็นโครงการระหว่างประเทศ ยังเดินหน้างานก่อสร้างตามปกติ แม้จะล่าช้าไปบ้างในช่วงวิกฤติโควิด แต่ปัจจุบันทางญี่ปุ่นได้เร่งเดินหน้างานก่อสร้าง และน่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD ได้ราวไตรมาส 3 ปี 2023 ตามแผนงานเดิม ส่วนเงินทุนงวดที่ 3 ที่จากตามกำหนดการเดิมจะต้องใส่เข้าไปราวสิ้นปีที่แล้ว บริษัทยังยืนยันที่จะใส่เงินทุนงวด 3 ตามสัญญาความก้าวหน้าโครงการ
2.ธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ที่บริษัทตั้งเป้าเติบโตรายได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ SPR บริษัทในเครือ SPCG ที่ขณะนี้ได้ติดตั้งให้ภาคครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย ทั้งปัจจุบันกำลังเจรจากับโรงงานอีกหลายแห่งที่สนใจติดตั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :