ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า การจัดออกหุ้นกู้ครั้งแรกปี 2564 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากเบื้องต้นต้องการออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท แต่จากการสำรวจความต้องการลงทุนในหุ้นกู้ (Bookbuild) เมื่อ 29 เมษายน 2564 มีผู้ลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทมากกว่ามูลค่าที่บริษัทมีแผนเสนอขายเดิมรวมกว่า 3 เท่า
บริษัทฯได้พิจารณาออกหุ้นกู้เพิ่มเติมเป็นวงเงินรวม 6,200 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ชุดใหม่นี้มีทั้งหมด 4 ชุด คือ หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.97% มูลค่า 1,200 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.39% มูลค่า 800 ล้านบาท หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.00% มูลค่า 1,700 ล้านบาท และ หุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.45% มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยหุ้นกู้รุ่นอายุ 7 ปี และ 10 ปี บริษัทฯ มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนโดยเงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนดสิทธิ
ทั้งนี้หุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดดังกล่าว ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในระดับ “A-” Stable outlook โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564 และได้เสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 5 – 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 และจัดออกหุ้นกู้ในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ดร.สุภามาสกล่าวว่า บริษัทฯนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นกู้ครั้งนี้ ไปชำระคืนหนี้คงค้าง และ/หรือ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ รวมถึงเพื่อขยายธุรกิจในส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อสินทรัพย์ และ/หรือ การลงทุนของโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งในประเทศและต่างประเทศ และได้แต่งตั้งธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้
“การที่หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอย่างมากในครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงการมองเห็นถึงศักยภาพของบริษัทในโครงการลงทุนต่างๆ ที่ผ่านมารวมถึงในอนาคต เช่น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้ง 3 บริษัทดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อาทิ ระบบขนส่งมวลชนและสาธารณูปโภคพื้นฐานซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาสัมปทานหรือสัญญาซื้อขายระยะยาว”
นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทย ตลอดจนความสามารถในการรับงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งความแข็งแกร่งในการดำเนินโครงการและความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ
สำหรับผลประกอบการ ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 18,442 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 627 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 82,774 ล้านบาท และหนี้สินรวม 56,503 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 26,271 ล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: