นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่บริจาคเป็นสาธารณกุศล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคโควิด–19 ได้แก่ ยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19 ที่บริจาคให้แก่สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศล สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กำลังระบาดระลอก 3 อยู่ในขณะนี้ ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนความช่วยเหลือจากภาคเอกชนในการร่วมมือ ช่วยกันแก้ไขการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ กรมสรรพากรจึงได้เสนอ ครม. เห็นชอบหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....(การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเข้ายา เวชภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ต้าน COVID-19สำหรับบริจาคเป็นสาธารณกุศล)
โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้าที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกัน COVID-19 เช่น ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เพื่อบริจาคให้แก่ สถานพยาบาลของทางราชการ หน่วยงานของรัฐ และองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคดังกล่าว โดยต้องไม่นำต้นทุนของสินค้ามาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
"สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 และที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด"
ทั้งนี้ การขยายเวลาการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้ายาและเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) เพื่อการบริจาคเป็นสาธารณกุศล จากเดิมที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กรมสรรพากรเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการร่วมมือแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งจะเป็นผลดีแก่สุขภาพของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :