นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนในการแก้ไขปัญหา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผู้ที่บริจาคให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีสิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายทางภาษี ดังนี้
1. บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา 65 ตรี (3 ) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ ผู้ที่บริจาคให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตาม 1 และ 2 จะต้องบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 5 มีนาคม 2565
3. ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่บริจาคสินค้าให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
“กรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการภาษีข้างต้นจะช่วยจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน โดยมาตรการนี้มีส่วนช่วยรักษา ฟื้นฟู เยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19” นายเอกนิติกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: