เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางสัญญาณความเสี่ยงที่ชัดเจนมากขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ระลอกที่สามที่มีแนวโน้มควบคุมได้ยาก เพราะต้องรับมือกับโควิด 19 ที่เป็นเชื้อกลายพันธุ์อัลฟาและเดลต้า
เงินบาทเริ่มเผชิญแรงขายอย่างหนักตั้งแต่ในช่วงกลางเดือนมิ.ย. 2564 และอ่อนค่าต่อเนื่องจนทำสถิติอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 15 เดือนที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ระหว่างชั่วโมงการซื้อ-ขายในวันที่ 9 ก.ค. 2564) ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์โควิดในประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยนอกจากวิกฤตโควิด 19 ดังกล่าวจะทำให้ทางการไทยต้องยกระดับมาตรการควบคุมและสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในหลายๆ จังหวัดแล้ว ความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อยังเพิ่มแรงกดดันต่อสถานะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยให้ขาดดุลมากขึ้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เป็นสัญญาณที่ตอกย้ำว่า ปัจจัยพื้นฐานของค่าเงินบาทกำลังอ่อนแอลง พร้อมๆ กับความเสี่ยงต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะที่เหลือของปี
คงต้องยอมรับว่า ความเสี่ยงจากวิกฤตโควิดเป็นตัวแปรสำคัญที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า ทั้งในช่วงที่มีการระบาดของโควิดในปี 2563 และการระบาดของโควิดในปี 2564 อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ความแตกต่างสำคัญจะอยู่ที่การฟื้นตัว (แข็งค่า) กลับมาของเงินบาทในปีนี้ จะต้องเผชิญกับเงื่อนไขข้อจำกัดที่ท้าทายกว่า อย่างน้อย 2 ด้าน ได้แก่
1)การระบาดของโควิดรอบสามยืดเยื้อและกินเวลานานกว่าการระบาดรอบแรก และทำให้จังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความไม่แน่นอนสูง (และมีแนวโน้มที่จะบันทึกยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ซึ่งทำให้ปัจจัยพื้นฐานของเงินบาทมีความเปราะบาง)
นอกจากนี้แม้ว่า ทั้งสหรัฐฯ และไทยจะต้องรับมือกับโควิด 19 ที่เป็นเชื้อกลายพันธุ์ แต่สหรัฐฯ น่าจะมีความพร้อมในด้านการจัดหาวัคซีนโควิดที่มีประสิทธิภาพและรับมือกับสถานการณ์ดีกว่า ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขดังกล่าว อาจทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ซึ่งจะเป็นภาพที่แตกต่างจากโควิดรอบแรกในปี 2563 ที่ในรอบนั้นเงินบาทอ่อนค่าค่อนข้างเร็ว แต่ก็สามารถฟื้นตัว/แข็งค่ากลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน โดยในปี 2563 การอ่อนค่าของเงินบาทกินเวลาประมาณ 3 เดือนแรกของปี ก่อนจะทยอยแข็งค่าตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 2563
2)เศรษฐกิจสหรัฐฯ และไทยมีจังหวะการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ทยอยส่งสัญญาณว่า เฟดใกล้ที่จะถอยออกจากมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากได้ก่อนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่สัญญาณการเตรียมคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดอาจจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2564 ของปีนี้เป็นอย่างเร็ว ซึ่งท่าทีเตรียมคุมเข้มของเฟดดังกล่าวจะแตกต่างไปจากสัญญาณพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธปท. เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ ดังนั้น กระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับสัญญาณคุมเข้มของสหรัฐฯ ที่น่าจะมาได้เร็วกว่า ก็จะเป็นปัจจัยบวกของเงินดอลลาร์ฯ (และทำให้เงินบาทมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าได้ต่อเนื่อง)
แม้เงินบาทที่อ่อนค่าอาจส่งผ่านผลบางส่วนไปที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ประเมินว่า ภายใต้กลไกการควบคุมดูแลทิศทางราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์น่าจะบรรเทาปัญหานี้ได้ในระยะเฉพาะหน้านี้ อย่างไรก็ดี หากมองในอีกด้านหนึ่ง เงินบาทที่อ่อนค่าก็เป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนรายได้ของผู้ประกอบการในภาคการส่งออก และอาจช่วยบรรเทาแรงกดดันจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนค่าขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้นได้บางส่วน ซึ่งทำให้ภาคการส่งออกยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยประคองทิศทางภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในระยะที่เหลือของปีนี้ ขณะที่กิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศส่วนอื่นๆ ยังคงเผชิญภาวะกดดันจากการระบาดของโควิดอย่างต่อเนื่อง
สำหรับมุมมองต่อค่าเงินบาทนั้น มองว่า มีความเป็นไปได้ที่เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อเนื่องไปทดสอบระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก่อนสิ้นปี 2564 (เช่นเดียวกับระดับการอ่อนค่าของเงินบาทในโควิดรอบแรก) หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในประเทศยังไม่ลดระดับความเสี่ยงลงมา และเฟดสามารถเริ่มทยอยส่งสัญญาณเตรียมคุมเข้มนโยบายการเงินได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2564 ตามที่ตลาดประเมินไว้ อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ไม่แรง หรือเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิดอีกระลอก ก็อาจส่งผลทำให้ตลาดต้องกลับมาประเมินการคาดการณ์ในเรื่องจังหวะการปรับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ใหม่อีกครั้ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า และอาจช่วยหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ โดยเฉพาะหากสถานการณ์โควิดในประเทศคลี่คลายลง