Upheaval : วิกฤติชาติและทางออก

19 ก.ค. 2564 | 20:59 น.

โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า

ช่วงโควิดผมได้อ่านหนังสือที่ได้รับจากเพื่อน VI ที่ส่งมาให้หลายเดือนแล้วแต่ยังไม่ได้มีเวลาอ่านเล่มหนึ่งชื่อ “Upheaval” เขียนโดย Jared Diamond นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ “Guns Germs And Steal” ที่โด่งดังหลายปีก่อน  หนังสือเล่มนี้พูดถึง “วิกฤติ” โดยเฉพาะของประเทศต่าง ๆ  และจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชาติพ้นจากวิกฤติ

 

ตัวอย่างของประเทศที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงในหนังสือรวมถึง การสงครามระหว่างฟินแลนด์กับสหภาพโซเวียตในช่วงก่อนและต่อไปจนจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ในสมัยเมจิจนกลายเป็นมหาอำนาจและแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2  เยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและการรวมชาติเยอรมันตะวันออกกับตะวันตกภายหลังสงครามเย็น  อเมริกาในประเด็นเรื่องความไม่เสมอภาคและปัญหาเรื่องชนชั้นในสังคม  แต่ประเทศที่ผมสนใจมากกว่าก็คือวิกฤติของประเทศกำลังพัฒนาที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกับประเทศไทยโดยเฉพาะในด้านของการเมืองที่มักจะเกิดการรัฐประหารและการปกครองในระบบเผด็จการยาวนานซึ่งนำประเทศไปสู่วิกฤติและหนทางที่ประเทศเหล่านั้นออกจากวิกฤติและก้าวหน้าต่อไปในปัจจุบัน  โดยตัวอย่างก็คือ  ประเทศชิลีและอินโดนีเซียในยุคนายพลปิโนเชต์และซูฮาร์โตตามลำดับ

 

คำว่า “Upheaval” นั้น  หมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและอย่างกะทันหัน  เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่เลวร้ายก่อให้เกิดปัญหา  ความยากลำบาก  เกิดทุกข์เข็น  ความสับสนโกลาหลและความกังวลในวงกว้างและมักจะต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน  ตัวอย่างเช่นในตอนนี้  ในระดับโลก  การเกิดการระบาดของโควิด-19 ก็ต้องถือว่าเป็น Upheaval ที่ “โลก” ต้องต่อสู้แก้ไขให้โรคนี้สงบลง  เช่นเดียวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ทำให้โลกร้อนขึ้นก็ถือว่าเป็น Upheaval เช่นเดียวกันและเป็นเรื่องของ “โลก” ไม่มีประเทศใดประเทศหนึ่งที่จะสามารถแก้ไขให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง  ทั้งโลกต้องร่วมมือกัน  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ “ยากและท้าทาย” แต่ก็ต้องทำให้ได้  ในระดับภูมิภาคหรือประเทศเองนั้น  ตัวอย่างของ Upheaval เร็ว ๆ นี้ที่ชัดเจนก็คือในกรณีของเหตุการณ์  “อาหรับสปริง” ที่เกิดการ “ปฎิวัติของประชาชน” ล้มระบบการปกครองแบบเก่าที่เป็นเผด็จการและ  “กดขี่” ประชาชนโดยผู้ปกครองหรือชนชั้นนำในกลุ่มประเทศอาหรับตั้งแต่ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบียและเยเมน และยังก่อให้เกิดกระแสการต่อสู้ขึ้นในหลาย ๆ  ประเทศในย่านนั้นจนถึงปัจจุบัน

 

มีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุของการเกิดอาหรับสปริงนั้น  มาจากประเด็นทางเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองที่รุนแรงและเกิดขึ้นต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ  นานเท่าไรก็คงจะบอกได้ยาก  พูดแบบชาวบ้านหน่อยก็อาจจะบอกว่า  “สุกงอม”  โดย “รายการ” ที่น่าจะมีผลที่สุดที่ปรากฏในวิกิพีเดียน่าจะรวมถึงเรื่องของ  อำนาจนิยมหรือระบบที่เป็นเผด็จการ   โครงสร้างประชากรที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น  การทุจริตทางการเมืองและการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ภาวะเงินเฟ้อและความยากจน และการแบ่งแยกนิกายทางศาสนา เป็นต้น  ส่วนเป้าหมายของ “ผู้ก่อการ” ก็คือการการล้มลัทธิอิสลามนิยม  การทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตย  ให้มีการเลือกตั้ง  มีเสรีภาพทางการค้าและมีสิทธิมนุษยชน  เป็นต้น  โดยวิธีการต่อสู้ของฝ่ายประชาชนนั้นก็เริ่มต้นจากการ “ดื้อแพ่ง”  การเดินขบวนประท้วง การเผาตัวเอง  การจลาจล  การเคลื่อนไหวทางอินเตอร์เน็ตและออนไลน์ในสื่อสังคม  การนัดหยุดงาน  และการทำสงครามกลางเมือง  เป็นต้น 
 

กลับมาที่ประเทศไทย  ผมลองนึกย้อนหลังดูก็พบว่าเราน่าจะมีเหตุการณ์ที่เรียกว่าเป็น  Upheaval ในช่วงก่อน 14 ตุลาคม 2516 ที่ก่อนหน้านั้นมีเหตุการณ์ต่าง ๆ  มากมาย  นำโดยนักศึกษาในมหาวิทยาลัยซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งและมีจำนวนน้อยนิดที่มีความไม่พอใจในระบบเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองของประเทศที่เป็นระบบอภิสิทธิชนและมีการกดขี่ไม่เป็นประชาธิปไตยและยังไม่มีแม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ถูก “ฉีกไป” ในการรัฐประหารก่อนหน้านั้น  ผมยังจำได้ว่ามีเหตุการณ์ “ทางการเมือง” ต่าง ๆ  เกิดขึ้นไม่เว้นวัน  มีการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น  มีการเปิดโปงการทำผิดกฎเกณฑ์และกฎหมายของผู้มีอำนาจระดับสูงมาก เช่น เรื่องการเข้าป่าล่าสัตว์  มีการประท้วงเรื่องสิทธิมนุษยชนเช่นเรื่องการฆ่าแล้วเผาในถังแดง  และสุดท้ายมีการ “เรียกร้องรัฐธรรมนูญ”  อะไรต่าง ๆ  เหล่านี้  ทั้งหมดนั้นก่อให้เกิดกรณี 14 ตุลา 16 และตามมาด้วย 6 ตุลาคม 19 ซึ่งหลังจากเป็น “Upheaval” มาหลายปี  เราก็ “ผ่านมาได้” ด้วยการแก้ไขที่ถูกต้อง  ประเทศไทยกลับมาเจริญงอกงามต่อมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้  แม้ว่าจะยังมีปัญหามาเป็นระยะ ๆ  แต่ก็ยังห่างไกลจากวิกฤติในระดับหายนะ

 

ปรากฏการณ์ในระยะประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาของไทยนั้น  ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มประสบปัญหารุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ  เริ่มตั้งแต่ความขัดแย้งของกลุ่มคนสองฝ่ายคือฝ่ายที่เป็นชนชั้นนำ-สูงอายุกับคน “ชั้นล่าง” และคนหนุ่มสาว  กลุ่มคนอนุรักษ์กับเสรีนิยม   ความไม่ยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมระหว่างคนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจกับคนที่ยากไร้  ระบบการเมืองที่ “ไม่เป็นประชาธิปไตย”  ระบบความยุติธรรมที่ “ลำเอียง” ไม่เป็นกลาง  การกระจายของข้อมูลข่าวสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมสมัยใหม่ที่ทำให้มีความเห็นที่รุนแรงและแตกแยกมากขึ้น  มีการรัฐประหารและมีการ “ต่อสู้” โดยการประท้วงและการอดอาหาร   มีการปิดกั้น “เสรีภาพ” ในการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง  มีการละเมิด “สิทธิมนุษยชน” ในด้านต่าง ๆ  มีการ “คอร์รัปชั่น” ของผู้มีอำนาจที่ไม่สามารถเอาผิดได้  ถ้าจะพูดไปเรื่อย  ๆ  ก็น่าจะยังมีประเด็นที่มีความรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างกระทันหันทำให้เกิดปัญหา  เกิดความทุกข์ยากสับสนเป็นระยะ ๆ  และแน่นอนว่าประเด็น  “ล่าสุด” ก็คือ  การอุบัติขึ้นของโรคโควิด-19 ที่เข้ามา “ซ้ำเติม” จนสังคมไทยแทบจะ “ทนไม่ไหว”

 

ผมเองคิดว่าประเทศไทย ณ.ขณะนี้อาจจะเข้าข่ายเป็น  “Upheaval” ไปแล้ว  อาจจะไม่ใช่สาเหตุเรื่องของโควิดเท่านั้น  แต่เป็นภาพโดยรวมของประเทศที่ดำเนินต่อเนื่องมานานหลายปีแล้ว  โควิดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เข้ามาซ้ำและน่าจะรุนแรงที่สุด ทางออกของประเทศไทยคืออะไร?  คำตอบจาก Jared Diamond ก็คือ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

1) คนในชาติจะต้องมีความเห็นพ้องร่วมกันว่าประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติ  ผมเองคิดว่าตั้งแต่เกิดโควิด-19 คนไทยก็มีความเห็นพ้องร่วมกันมากขึ้นว่าเรามีปัญหาจริง ๆ  จากที่ก่อนหน้านี้หลายคนคิดว่าไทยไม่มีปัญหา  เป็นปัญหาของคนบางกลุ่มที่....เท่านั้น

2) ต้องยอมรับว่าเป็นภาระรับผิดชอบของประเทศที่ต้องลงมือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง

3) ล้อมรั้ว กำหนดขอบเขตปัญหาของประเทศที่จำเป็นต้องแก้ไข   เรื่องนี้ผมนึกถึงการแก้ปัญหาทางสังคมของคนที่ถูกกระทบจากโควิดหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เป็นต้น

4) หาความช่วยเหลือทางวัตถุและทางการเงินจากต่างประเทศ ผมคิดว่าเรามีเงินพอ  แต่ทางวัตถุก็อาจจะเป็นวัคซีนโควิดที่มีประสิทธิภาพ  เป็นต้น

5) ถือประเทศอื่นเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา  ข้อนี้ผมคิดว่าจะต้องเปลี่ยนความคิดของคนว่าที่เราเจริญมาตลอดในประวัติศาสตร์นั้น  ก็อยู่ที่การเลียนแบบมาจากคนอื่นที่เจริญกว่า  ไม่มีอะไรน่าอาย

6) อัตลักษณ์แห่งชาติ  ข้อนี้ก็คือต้องดูว่าคนไทยมีนิสัยหรือคุณสมบัติแบบใด  การแก้ปัญหาก็ควรจะคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ด้วย

7) ประเมินจุดอ่อนจุดแข็งประเทศของตนอย่างซื่อตรง

8)ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับวิกฤติชาติครั้งก่อนหน้านั้น  นั่นก็คือกรณีวิกฤติเดือนตุลาคมปี 2516 และ 2519 ที่เราต้องศึกษา

9) แก้ปัญหาความล้มเหลวของประเทศ

10) ความยืดหยุ่นในสถานการณ์เฉพาะของประเทศ

11)ค่านิยมหลักของประเทศ

12) การเป็นอิสระจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์

 

ทั้งหมดนั้นก็คือ  ความพยายามที่จะ “ปรองดอง”  ไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายจนเกิด “ต้นทุน” มหาศาลจนรับไม่ไหว  เป็นทางเลือกที่จะออกจากวิกฤติโดยที่จะเกิดผลดีต่อการก้าวต่อไปอย่างแข็งแกร่งในอนาคต  แน่นอนว่าต้องมีคนที่ต้อง “เสียสละ” เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้