ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ในฝั่งตลาดหุ้นไทยก็ยังคงผันผวนเช่นกัน จากราคาหุ้นบางตัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยบางวันราคาปรับขึ้นแรง หรือบางวันก็ดิ่งลงแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้จะอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายก็ตาม ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวังและพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลในเว็บไซต์ตลท. พบว่าหุ้นที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 6 สิงหาคม 2564 คือ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์จำกัด (มหาชน) (JTS) ราคาปิดวันที่ 6 สิงหาคมอยู่ที่ 46.75 บาท เพิ่มขึ้น 44.82 บาท หรือ 2,322.27% จากราคาปิดสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 1.93 บาท โดยราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 67.00 บาท เพิ่มขึ้น 65.07 บาท หรือ3,371.50% ทั้งนี้ อยู่ในมาตรการกำกับซื้อขายระดับ 2 ห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม - 9 สิงหาคม 2564 จากมาตรการระดับ 1 เริ่มเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564
ส่วนหุ้น บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) (TEAM) ปิดที่ 4.66 บาท เพิ่มขึ้น 3.61 บาท หรือ 343.80% จากราคาปิดสิ้นปีที่ 1.05 บาท ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 5.10 บาท เพิ่มขึ้น 4.05 บาท หรือ 385.71% โดยอยู่ในช่วงขยายเวลามาตรการกำกับซื้อขายระดับ 1 ตั้งแต่วันที่ 5 - 25 สิงหาคม 2564 จากวันที่เริ่มต้นมาตรการเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท ไทยนามพลาสติกส์ จำกัด (มหาชน)(TNPC) ราคาปิดที่ 3.38 บาท เพิ่มขึ้น 2.63 บาท หรือ 350.66% ราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 3.72 บาท เพิ่มขึ้น 2.97 บาท หรือ 396% และบริษัท อกริเพียวโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (APURE) ราคาปิดที่ 9.20 บาท เพิ่มขึ้น 7.08 บาท หรือ 333.56% จากราคาปิดสิ้นปีที่ 2.12 บาท โดยราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 9.70 บาท เพิ่มขึ้น 7.58 บาท หรือ 357.54%
ขณะที่ ราคาหุ้นที่อยู่ในความสนใจอีก 1 ราย คือ บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (7UP) ที่ราคาปิดวันที่ 6 สิงหาคมอยู่ที่ 1.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.82 บาท หรือ 190.69% จากสิ้นปี 2563 ปิดที่0.43 บาท โดยราคาเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 3.58 บาท เพิ่มขึ้น 3.15 บาท หรือ 732.55% จากนั้นราคาได้ปรับลดลง 7 วันต่อเนื่อง และราคาลดลงติดฟลอร์ 2 วันติดเมื่อวันที่ 4-5 สิงหาคม 2564 นอกจากนี้ ยังอยู่ในช่วงขยายมาตรการกำกับซื้อขายระดับ 2 ตั้งแต่วันที่ 4-24 สิงหาคม 2564 จากวันที่เริ่มมาตรการกำกับระดับ 1 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 และเริ่มระดับ 2 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. เปิดเผยว่า ตลท.อยู่ระหว่างการทบทวนและปรึกษาผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของมาตรการกำกับการซื้อขายด้วย Cash Balance และ Net settlement ว่าควรมีมาตรการอื่นที่จะมาช่วยควบคุมเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากที่ผ่านมาสามารถควบคุมความผันผวนของราคาหุ้นจากมาตรการดังกล่าวได้ถึง 90% แต่อีก 10% ที่แม้จะถูกใช้มาตรการแล้วแต่ก็ยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง ซึ่งการปรับมาตรการต่างๆ จะต้องคำนึงถึงภาพรวมให้มีความสมดุลกับการปล่อยให้เกิด Price Discovery และทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน
ขณะเดียวกัน ยังขอให้ผู้ลงทุนระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหลักทรัพย์บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (DELTA) เนื่องจากวันที่ 6 สิงหาคม 2564 สภาพการซื้อขายมีความผันผวนโดยเป็นวันแรกที่ DELTA ออกจากมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 2 ทั้งนี้ หากสภาพการซื้อขายยังคงผันผวนต่อเนื่อง ก็อาจจะเข้าเงื่อนไขมาตรการกำกับการซื้อขายในระดับ 3 ได้ โดยที่ผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี cash balance ห้ามนำหลักทรัพย์ DELTA มาวางเป็นหลักประกันในการเพิ่มวงเงิน และห้ามซื้อขายแบบ net settlement
สำหรับ DELTA ถูกใช้มาตรการกำกับซื้อขายระดับ 1 คือใช้ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2564 จากนั้นถูกขยายเวลาตั้งแต่วันที่ 4 - 23 มิถุนายน 2564 และขยายเวลาอีกครั้งตั้งแต่วันที่24 มิถุนายน - 14 กรกฎาคม 2564 ขณะเดียวกัน ได้ถูกใช้มาตรการระดับ 2 คือห้ามคำนวณวงเงินซื้อขายและ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม - 5 สิงหาคม 2564